โฟกัสพระเครื่อง/มงคลวัตถุ “พระปรอท” หลวงพ่อซวง อภโย วัดชีปะขาว จ.สิงห์บุรี

โฟกัสพระเครื่อง/โคมคำ [email protected]

มงคลวัตถุ “พระปรอท” หลวงพ่อซวง อภโย วัดชีปะขาว จ.สิงห์บุรี

“พระวินัยธรซวง” หรือ “หลวงพ่อซวง อภโย” วัดชีปะขาว หรือ วัดชีผ้าขาว ต.พระงาม อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ได้รับสมญานาม “เทพเจ้าแห่งเมืองสิงห์” หรือที่ญาติโยมมักเรียกว่า “พ่อใหญ่”

นอกจากเป็นพระเกจิผู้ทรงวิทยาคุณแล้ว ยังเพียบพร้อมด้วยศีลาจารวัตรอันงดงาม กอปรด้วยเมตตาบารมี ให้ความอนุเคราะห์แก่ศิษยานุศิษย์และชาวบ้านทั่วไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เปรียบเสมือนบิดาของชาวบ้านแถบวัดชีปะขาวและบ้านใกล้เรือนเคียงทีเดียว

จัดสร้างวัตถุมงคลไว้หลายประเภท ทั้งเนื้อโลหะ เนื้อผง รูปถ่าย เครื่องรางของขลัง ฯลฯ แต่ละประเภทมีจำนวนสร้างน้อย จึงค่อนข้างหายาก อาทิ พระลีลาหล่อ รูปหล่อ เหรียญหล่อ พระปรอท ล็อกเกต พระผงกลีบบัว ตะกรุด แหวน ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งล้วนทรงพุทธคุณเป็นเลิศ เป็นที่ต้องการของบรรดานักสะสมพระเครื่องยิ่งนัก

แต่ที่ถือว่าเป็นสุดยอดคือ “พระปรอท”

พระเกจิที่สำเร็จวิชาเล่นแร่แปรธาตุนี้ มีน้อยรูปนัก ต้องมีบารมีธรรมสูง ทรงอภิญญาสมาบัติ และมีบุญญาธิการจริงๆ ด้วยกรรมวิธีการสร้างนั้นถือเป็นเคล็ดวิชาเฉพาะที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก แต่ถ้าพูดถึงพุทธคุณแล้วครอบจักรวาลทีเดียว เนื่องจากปรอทมีคุณสมบัติพิเศษและมีพลังในตัวเอง

จัดสร้างพระปรอท ประมาณปี พ.ศ.2498 ตามตำรับโบราณที่ศึกษามาและยังทำการปลุกเสกเดี่ยวเพิ่มเติม จึงเข้มขลังทรงพุทธาคม

พระปรอท จะมีขนาดเล็ก ลักษณะเหมือนกลีบบัวหรือหยดน้ำ มีพิมพ์เดียวเท่านั้น

ด้านหน้าเป็นพระพุทธรูปในท่านั่งสมาธิเต็มองค์ เหนืออาสนะบัวคว่ำบัวหงาย ด้านหลังเรียบ ไม่มีอักขระใดๆ

สร้างประมาณ 200 องค์เท่านั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะอยู่กับผู้ที่คุ้นเคย ญาติโยมละแวกวัดในกิจนิมนต์ต่างๆ

ปัจจุบัน พระปรอท วัดชีปะขาว ถือเป็นสุดยอดวัตถุมงคลหลวงพ่อซวงที่หายาก

นามเดิมว่า ซวง เป็นชาวสิงห์บุรีโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2442 ที่ ต.พระงาม อ.พรหมบุรี

อายุ 26 ปี เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดโบสถ์ อ.ไชโย จ.อ่างทอง โดยมีหลวงพ่อเฟื่อง วัดสกุณาราม (วัดนก) อ.ไชโย พระเกจิชื่อดังผู้สร้างพระพิมพ์สมเด็จวัดนกอันลือลั่น เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “อภโย”

จากนั้นได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดชีปะขาว จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส

ได้รับการถ่ายทอดวิปัสสนากัมมัฏฐานเบื้องต้นและวิทยาคมต่างๆ จากพระอาจารย์คำ วัดสิงห์ ต.พระงาม ศิษย์หลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง จ.พระนครศรีอยุธยา พระเกจิชื่อดังในอดีต

เมื่อสำเร็จแล้ว พระอาจารย์คำจึงแนะนำให้ไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้เป็นสหธรรมมิก ศิษย์ของพระเกจิชื่อดังหลายรูป อาทิ พระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส, หลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส จ.สมุทรปราการ, หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม, หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ จ.นครปฐม ฯลฯ เพื่อศึกษาวิทยาคมต่างๆ เพิ่มเติม

จากนั้น หลวงพ่อแป้นแนะนำให้ไปศึกษาต่อกับหลวงพ่อฤทธิ์ วัดบ้านสวน จ.สุโขทัย สหธรรมิกที่สนิทสนมกันมาก ท่านเป็นพระเถระที่เก่งกล้าทางด้านวิทยาคมเป็นอย่างสูง เป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง ธนบุรี

จึงมีความเชี่ยวชาญทั้งวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีฌานและพลังจิตอันแก่กล้า มีอภิญญาสมาบัติ และแตกฉานทางไสยเวทในหลายๆ ด้าน ว่ากันว่า ท่านมีวาจาสิทธิ์ ทั้งสามารถล่วงรู้วาระจิตใจของผู้อื่น และรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ท่านไม่เคยโอ้อวดอิทธิฤทธิ์ใดๆ ยังคงมีจริยาวัตรอันงดงาม สมถะ ไม่ยึดติดรูปสมบัติ ไม่ยอมรับปัจจัยใดๆ โดยจะยกให้เป็นสมบัติของสงฆ์จนหมดสิ้น

นอกจากนี้ ยังปฏิเสธสมณศักดิ์และตำแหน่งใดๆ แต่ในที่สุด พระราชสิงหวรมุนี ได้ขอร้องให้ท่านรับสมณศักดิ์ฐานานุกรม “พระวินัยธร” ซึ่งขณะนั้นว่างลงพอดี ท่านจึงจำเป็นต้องน้อมรับอย่างปฏิเสธมิได้

มรณภาพเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2510 สิริอายุ 69 ปี พรรษา 45

ก่อนมรณภาพ ท่านกำชับบอกกับคณะกรรมการวัดว่า “ถ้าต้องการให้โบสถ์หลังใหม่ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่แล้วเสร็จ อย่าเพิ่งฌาปนกิจสังขารของท่าน มิฉะนั้นโบสถ์จะสร้างไม่เสร็จ”

คณะกรรมการวัดจึงปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของท่าน โดยเก็บรักษาสังขารของท่านไว้ในหีบไม้อย่างมิดชิด ประดิษฐานไว้บนศาลาการเปรียญ เพื่อให้คณะศิษย์และชาวบ้านได้บูชากราบไหว้ และร่วมทำบุญสร้างโบสถ์หลังใหม่

ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานโบสถ์หลังใหม่ก็สร้างเสร็จตามประกาศิต

หลังจาก “หลวงพ่อซวง” มรณภาพไปแล้ว 26 ปี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2536 คณะกรรมการวัดได้เปิดหีบไม้ที่บรรจุสรีระสังขารของท่าน เพื่อทำพิธีฌาปนกิจ ปรากฏว่าสรีระสังขารไม่เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา เป็นที่น่าอัศจรรย์

คณะกรรมการวัดจึงเปลี่ยนใจนำสรีระร่างที่ไม่เน่าเปื่อยบรรจุไว้ในโกศขนาดใหญ่ สร้างมณฑปเป็นที่ประดิษฐานไว้ตราบจนวันนี้