รัฐส่วย ทำลายเศรษฐกิจ

รัฐส่วย ทำลายเศรษฐกิจ

 

การกลับมาอย่างรวดเร็วและจำนวนมากเกินความคาดของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นเรื่องที่น่ายินดีเฉลิมฉลองอย่างยิ่ง เพราะธุรกิจการท่องเที่ยวไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ประเทศไทยเราขายธรรมชาติสวยงามกับวัฒนธรรมน่ารักต้อนรับของประชาชนชาวไทยเท่านั้น

แต่การข่มขู่รีดไถของเจ้าหน้าที่รัฐกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งที่ตกเป็นข่าวครึกโครมและไม่เป็นข่าว ได้ทำลายการท่องเที่ยวของประเทศเสียหายไม่รู้กี่ร้อยล้านกี่พันล้านบาท

จะรู้กันไหมว่า กว่าประเทศไทยจะพัฒนามาเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกตั้งแต่ 20 กว่าปีก่อน เริ่มตั้งแต่แคมเปญ Amazing Thailand เป็นต้นมา ใช้งบประมาณแผ่นดิน ใช้ความพยายามของคนกลุ่มต่างๆ จำนวนมหาศาล กว่าจะมาเป็นเมืองท่องเที่ยว ประเทศน่าท่องเที่ยวในปัจจุบัน

 

กรณีเจ้าหน้าที่ใช้การขู่จับนักท่องเที่ยวที่มีบุหรี่ไฟฟ้าที่ซื้อมาจากร้านหรือแผงทั่วไป เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ยังมีอีกหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเหมือนบุหรี่ไฟฟ้า

ร้านค้าหรือแผงผู้จำหน่ายไม่ถูกจับกุม ก็เพราะได้มีการจ่ายส่วยแล้ว ไม่ว่าจะจ่ายโดนเอเย่นต์จัดจำหน่ายหรือผู้ค้ารายย่อย แต่เมื่อบุหรี่ไฟฟ้าตกไปอยู่ในมือนักท่องเที่ยวที่เป็นผู้ซื้อผู้เสพแล้ว ไม่มีส่วยคุ้มครอง จึงถูก “ทำรายได้” อีกรอบหนึ่ง

หลายๆ ปีหลัง หลายธุรกิจ หลายธุรกรรมถูกครอบงำด้วยระบบส่วยมากขึ้นๆ เมื่อเป็นข่าวฉาวโฉ่ขึ้นมา มักพบบ่อยๆ ว่าเจ้าหน้าที่ที่ถูกกล่าวหา จะได้รับการปกป้องจากผู้บังคับบัญชาตามลำดับ จนกระทั่งเหตุบานปลายหนักหนา จึงมีการพิจารณาโทษ

จะว่าไปแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเจ้าหน้าที่ระด้บล่างแสวงหารายได้ก็ไม่ใช่เพื่อตัวเองคนเดียว แต่ต้องนำส่งแก่เจ้านายระดับบนขึ้นไปด้วย การซื้อขายตำแหน่งด้วยยอดเงินจำนวนมากเป็นสิ่งยืนยันได้ดีว่า มีช่องทางแสวงหารายได้โดยมิชอบในจำนวนที่คุ้มจะจ่ายเงินซื้อตำแหน่งนั้น

เมื่อก่อนมีเสียงเล่าขานเรื่องราวแบบนี้เฉพาะหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา ธุรกิจสีดำ แต่ทุกวันนี้แม้แต่หน่วยงานทั่วไปที่มีการเก็บค่าบริการประชาชนหรือมีรายได้ใดๆ ก็ตาม ก็ปรากฏการซื้อขายตำแหน่ง จนบางหน่วยบางแห่งจับได้คาหนังคาเขา

หนทางแก้ไขริบหรี่มาก ก่อนโควิดปี 2562 ภาคท่องเที่ยวสร้างได้ราย 3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของ GDP ประเทศ ซึ่งในนี้ 2 ใน 3 หรือ 2 ล้านล้านบาทได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ การสร้างความเสียหายให้กับภาคธุรกิจที่ใหญ่สุดของประเทศและเป็นธุรกิจความหวังเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด กลับถูกเฉยชา

 

เมื่อเกิดเรื่องอื้อฉาวไปทั่วโลกเช่นนี้ กลับไม่มีนโยบายใดๆ ระดับรัฐบาลออกมาแก้ไขปัญหา มีแต่ประชาชนที่ไม่ยอมออกมาเปิดโปงต่อสู้กับหน่วยงานต้นสังกัด

ปัจจุบัน แม้รัฐจะมีรายได้ที่นำมาจัดทำงบประมาณจากการจัดเก็บภาษีก็ตาม แต่ถ้ากลไกของรัฐขยับเขยื้อนอย่างที่เห็นกันอยู่ เชื่อว่า ถ้าระดับบุคคลเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วย บางคน น่าจะมีรายได้จากส่วยมากกว่ารายได้จากเงินภาษีที่เป็นเงินเดือนแล้วล่ะ

รอบการฟื้นตัวเที่ยวนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า โควต้าตามกฎหมายที่ให้ต่างชาติซื้อห้องชุดได้ 49% นั้น ทั้งโครงการที่สร้างเสร็จเหลือขาย หรือโครงการเตรียมขึ้นใหม่ ก็หวังกำลังซื้อจากผู้ซื้อชาวจีนที่กำลังจะเปิดให้เดินทางออกท่องเที่ยวต่างประเทศได้

แต่มีปัญหาว่า รัฐบาลจีนจำกัดไม่ให้นำเงินออกมามาก ทำให้คนจีนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 ต้องหาวิธีนำเงินออกที่หลากหลายขึ้นเพื่อให้เพียงพอที่จะซื้อห้องชุดได้ ประเด็นนี้หากกลไกดำเนินงานเห็นว่าเป็นเงินสุจริตที่คนทำมาหาได้ เขาอยากซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองหลังที่ 2 โดยถูกต้องตามกฎหมายไทย เรื่องก็จะสะดวก

แต่ถ้าไปตีคลุมว่า เป็นเงินสีเทาจากธุรกิจสีเทาที่กำลังโด่งดัง ความหวังของธุรกิจอสังหาฯ ก็จะลดน้อยถอยลง

เหตุการณ์ความเป็นไปทางธุรกิจเศรษฐกิจทุกวันนี้ ทำให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า กลไกรัฐที่ยินดีกับรายได้จากส่วยมากกว่ารายได้จากภาษีนั้น ทำลายเศรษฐกิจมากมายจริงๆ •

 

ก่อสร้างและที่ดิน | นาย ต.