จีนเปิดประเทศ ท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก ไทยโอบรับทั้งโอกาสและความเสี่ยง?

(Photo by Jack TAYLOR / AFP)

คําประกาศเปิดประเทศของจีนเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณหนึ่งที่ไทยรอคอย หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์หลังเจอกระแสต่อต้านนโยบายอย่างหนัก

การเปิดประเทศและให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกนอกประเทศได้นี้ คือสิ่งที่ไทยคาดหวังมากในการช่วยให้การท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจตัวเดียวที่เหลืออยู่เป็นตัวกระตุ้นพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กับประเทศ ท่ามกลางความตื่นตระหนกหลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อในจีนกลับมาพุ่งสูงหลังยุตินโยบาย ซึ่งมีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้และหลายประเทศออกมาตรการเพื่อป้องกันพลเมืองของตัวเอง

แต่สำหรับประเทศไทย อาจมองต่างจากที่อื่นว่าเป็นโอกาสสร้างรายได้และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ แม้นั่นอาจหมายถึงต้องรับผลที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

โอกาสฟื้นตัว

 

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics เปิดเผยว่า ได้ประมาณการรายได้ท่องเที่ยวไทยปี 2565 อยู่ที่ระดับ 1.25 ล้านล้านบาท บนบริบทของพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป

พร้อมกับคาดการณ์รายได้ในปี 2566 จะเติบโตในอัตราเร่งอีก 1 ล้านล้านบาท พุ่งแตะ 2.25 ล้านล้านบาท จากอานิสงส์ที่จีนเปิดประเทศหนุนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งแตะ 28.9 ล้านคน

ส่งผลทางอ้อมให้การท่องเที่ยวภูมิภาคไทยมีความคึกคักเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดเมืองหลักท่องเที่ยว

เช่นเดียวกับศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 3.7% จาก 3.2% เนื่องจากผลบวกต่อภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกไทย โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาราว 4.65 ล้านคน

ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ราว 25.5 ล้านคน (กรอบ 24-26 ล้านคน)

ขณะที่การส่งออกโดยรวมหดตัวลดลงมาอยู่ที่ -0.5% เนื่องจากการส่งออกสินค้าไปจีนโดยเฉพาะในหมวดสินค้าผู้บริโภคคาดว่าจะขยายตัวมากขึ้น แม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวมจะยังคงกดดันการส่งออกไทยอยู่

ข้อเท็จจริงไม่โปร่งใส สู่มาตรการชวนสับสน

 

ในช่วงใกล้ที่จีนจะเปิดประเทศนั้น หลายประเทศ หลังจีนยุตินโยบายโควิดเป็นศูนย์ ได้เกิดภาวการณ์ระบาดแบบพุ่งทะยาน ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ในตอนแรกรัฐบาลจีนออกมาเปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิตเพียงบางส่วน ซึ่งกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในความโปร่งใสของรายงานข้อมูลให้กับองค์การอนามัยโลก

และภาพที่ปรากฏขึ้นในจีนที่มีการติดเชื้อหลายเมืองทั้งเซี่ยงไฮ้ กุ้ยโจว โรงพยาบาลเนืองแน่นไปด้วยผู้ติดเชื้อจนเกินรับไหว และผู้เสียชีวิตที่ต่อคิวทำณาปนกิจ บางครอบครัวรอไม่ไหว ต้องเผาคนในครอบครัวที่เสียชีวิตจากโควิดในที่สาธารณะ ตามริมทาง ตามลานกว้าง

ไมก์ ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายเหตุฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า เราเชื่อว่าตัวเลขปัจจุบันที่เผยแพร่จากจีนไม่ได้แสดงถึงผลกระทบที่แท้จริงของโรคนี้ในแง่ของการรับเข้าโรงพยาบาล ในแง่ของการเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเสียชีวิต

“ดูเหมือนรัฐบาลจีนให้นิยามความตายที่ตื้นเขินเกินไป เรายังไม่มีข้อมูลที่สมบูรณ์” ไมก์กล่าว

ด้านอับดี รอฮ์มาน มาฮาหมัด ผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานการเตือนภัยและตอบโต้ของอนามัยโลก เตือนว่าอาจมีการติดเชื้อระลอกใหม่ ในช่วงที่หลายครอบครัวเดินทางกลับบ้านไปฉลองเทศกาลตรุษจีนที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

ล่าสุดรอยเตอร์รายงานความคืบหน้าว่า น.ส.เจียว ยาหุย หัวหน้าสำนักบริหารการแพทย์ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (NHC) แถลงเมื่อวันเสาร์ (14 มกราคม) ว่า การเข้าโรงพยาบาลด่วนและการเป็นไข้โควิดถึงจุดสูงสุดแล้ว จำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลลดลงอย่างต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม-12 มกราคม จำนวนผู้เสียชีวิตเกี่ยวข้องกับโควิดในโรงพยาบาลรวม 59,938 คน

ในจำนวนนี้ 5,503 คนเสียชีวิตเพราะระบบทางเดินหายใจล้มเหลวอันเนื่องมาจากโควิด ที่เหลือเป็นผลจากโควิดรวมกับโรคอื่นๆ

แฟ้มภาพ

จากการระบาดรอบใหม่ในจีนที่สูงขึ้นนี้ หลายประเทศจึงออกกฎเข้มกับผู้เดินทางจากจีน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สหรัฐ อังกฤษ อินเดีย เช่น ตรวจเชื้อก่อนเดินทาง 48 ชั่วโมง หรือเข้าประเทศต้องกักตัวจนกว่าพบว่าไม่มีเชื้อ ทำให้จีนออกมาแสดงความไม่พอใจ ถึงขั้นเอาคืนด้วยการระงับวีซ่าชั่วคราวกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น โดยกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติกับนักท่องเที่ยวจีน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย กลับออกมาตรการที่ผ่อนคลายกว่าที่อื่น แต่ก็สร้างความสับสนกับนักเดินทาง โดยเฉพาะมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขกับ สำนักการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ที่วางข้อกำหนดผู้เดินทางจากต่างประเทศ เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมาว่า ต้องมีใบรับรองฉีดวัคซีน หรือต้องซื้อประกันสุขภาพสำหรับโควิด และไม่มีการตรวจเชื้อสุ่มผู้เดินทาง

ข้อกำหนดดังกล่าวจากหน่วยงาน เกิดขึ้นในเวลากระชั้นชิดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติในโซนยุโรปเตรียมไม่ทันก่อนเดินทาง ทำให้สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต, พังงา และกระบี่ต้องร้องเรียนถึงรัฐบาลในเรื่องนี้ และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชนถึงมาตรการที่ออกมาเปิดกว้างให้กับนักท่องเที่ยวจีน ทั้งที่จีนเผชิญการระบาดจำนวนมาก และเรียกร้องให้มีมาตรฐานการคัดกรองแบบเดียวกับต่างประเทศ แต่หน่วยงานสาธารณสุขได้ชี้แจงว่า จะดำเนินมาตรการเข้าประเทศแบบไม่เลือกปฏิบัติ ยิ่งทำให้เสียงวิจารณ์มีมากขึ้นอีก

ในที่สุด ไทยต้องยกเลิกข้อกำหนดนี้ในช่วงเย็นของวันที่ 9 มกราคม หลังจากนักท่องเที่ยวจีนชุดแรกเดินทางถึงไทย โดยมี 3 รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลจัดการต้อนรับแบบพิเศษ

นอกจากเสียงวิจารณ์ ยังเกิดผลกระทบเชิงรูปธรรมด้วย โดยนางสมทรง สัจจาภิมุข รองประธานหอการค้าอินเดีย-ไทย ยอมรับว่า รัฐบาลอินเดียกำหนดมาตรการให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางออกจากประเทศไทยต้องตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางกลับประเทศตั้งแต่ 1 มกราคมที่ผ่านมา บวกกับนโยบายจีนเปิดประเทศเติมรูปแบบ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวอินเดียเข้าไทยโดยรวมหายไปราว 20%

สถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะโดน 2 ต่อ คือ ทั้งมาตรการ RT-PCR ก่อนกลับเข้าประเทศ และจากประเด็นจีนเปิดประเทศ เนื่องจากประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนจีน และส่วนตัวมองว่ารัฐบาลอินเดียออกประกาศดังกล่าวเร็วเกินไป ทำให้นักท่องเที่ยวอินเดียที่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวไม่มีเวลาปรับเปลี่ยนการเดินทาง

แม้ยังไม่มีความเห็นจากหน่วยงานของอินเดีย แต่สื่อใหญ่ของอินเดียอย่าง WION รายงานการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวจีนด้วยเนื้อหาที่วิจารณ์และตั้งคำถามต่อเรื่องนี้ว่า การต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนแบบไม่มีคัดกรองโควิด ท่ามกลางการระบาดในจีนที่สูงขึ้น

อาจทำให้ไทยตกอยู่ในความเสี่ยง และถามด้วยว่า ควรเดินทางเที่ยวไทยในเวลานี้หรือไม่?