ข้ามสมุทร (1) | เรื่องสั้น : วนิดา คุตตวัส

เรื่องสั้น | วนิดา คุตตวัส

ข้ามสมุทร (1)

 

ภัณฑารักษ์จางมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาด้วยความพอใจ เขาหวนคิดถึงจดหมายที่เขียนไปหาเพื่อนที่ปักกิ่งเมื่อหลายเดือนก่อน บอกเล่าแกมบ่นว่าพิพิธภัณฑ์เผิงไหลที่เขาดูแล แม้จะได้รับการรับรองจากกระทรวงการท่องเที่ยวว่าอยู่ในระดับห้าเอ แต่การเอาใจใส่ด้านงบประมาณกับบุคลากรดูจะไม่สมกับระดับดีเยี่ยมที่ได้รับสักเท่าไหร่

จางเขียนไปว่าทุกวันนี้คนจีนนิยมเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศมากกว่าการเที่ยวภายในประเทศ แม้แต่ช่วงตรุษจีนที่คนจากเมืองใหญ่หลั่งไหลกลับบ้านตามประเพณีก็ดูน้อยนักที่จะให้ความสนใจมาเที่ยวชมสถานที่โบราณทางประวัติศาสตร์ เพราะพากันไปเที่ยวสวนสนุกแบบสมัยใหม่ที่เปิดแข่งกันเกือบทุกเมือง พวกคนหนุ่มสาวยุคนี้ก็ไม่อยากมาจมปลักทำงานกับแหล่งประวัติศาสตร์ที่ไกลจากแสงสีในเมืองใหญ่อีกต่อไปแล้ว จางตบท้ายจดหมายถึงเพื่อน ขอให้ช่วยหาเด็กหนุ่มสาวมาช่วยงานที่เผิงไหล โดยเขายินดีจะจัดที่พักพร้อมอาหารให้ด้วย

แล้วเด็กหนุ่มคนนี้ก็มาถึงพร้อมจดหมายแนะนำของเพื่อน ที่เขียนสั้นๆ ว่า เฉินเป็นลูกของญาติห่างๆ เพิ่งจบมหาวิทยาลัย และอยากหาประสบการณ์การทำงานด้านท่องเที่ยว จึงขอมาทดลองทำงานที่เผิงไหล

ภัณฑารักษ์จางกระแอมแล้วพูดขึ้นว่า “ดีใจมากที่เธอจะมาช่วยงานที่นี่ ฉันจะบอกให้อาอี๋ไปปัดกวาดห้องพักไว้ให้ อยู่ด้านหลังเรือนต้อนรับแขกวีไอพี ถึงจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็สะดวก เธอจะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่า หรือค่าเดินทางมาทำงาน วันนี้ก็เกือบเลิกงานแล้ว พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้มาเจอที่ห้องทำงานนี้ แล้วค่อยคุยเรื่องงานกันอีกที เรื่องอาหาร อาอี๋จะช่วยดูแลให้”

“ขอบคุณมากครับ” เฉินลุกขึ้นยืน โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ผมพร้อมจะทำงานในวันพรุ่งนี้เลยครับ”

 

เช้าวันต่อมา ภัณฑารักษ์จางพาเฉินมายืนชมทิวทัศน์ที่เผิงไหลเก๋อ หอสูงสามชั้นทรงแปดเหลี่ยม ตั้งอยู่บนยอดเนินจุดสูงสุดของวิหารเต๋า มองออกไปเบื้องหน้าเป็นทะเลโป๋ไห่ที่เชื่อมต่อกับทะเลเหลือง โดยมีแนวกำแพงเรียงรายลดหลั่นลงมาตามเชิงผาริมทะเล ถัดลงไปจะเห็นกลุ่มอาคารหลายหลังที่เป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเล ไกลออกไปรอบนอกเป็นเขตเมืองใหม่ที่อาคารสูงทันสมัยส่งประกายอยู่ที่แนวขอบฟ้า

“อาเฉิน เธอคงเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเผิงไหลมาแล้วบ้าง เธอคงรู้ว่าฉันเป็นพวกคนโบราณ ใช้โทรศัพท์สมัยใหม่ยังไม่ค่อยเป็นเลย ฉันอยากให้เธอช่วยเสนอแนวคิดประชาสัมพันธ์ที่นี่ให้เป็นที่สนใจน่ามาเที่ยวมากขึ้น ด้วยสื่อทันสมัยที่ฉันไม่รู้จักสักเท่าไหร่”

“ผมอ่านเกี่ยวกับเผิงไหลมาบ้างเล็กน้อย รู้เพียงคร่าวๆ แต่หวังว่าจะได้มาเรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่ครับ เท่าที่ผมทราบมา ผาแดงแห่งนี้มีเรื่องราวมากมายที่เราจะโปรโมตได้ ทั้งด้านประวัติศาสตร์และตำนานท้องถิ่น แล้วผมจะลองเรียบเรียงข้อเสนอแนวทางประชาสัมพันธ์มาให้ท่านพิจารณาครับ”

“เรียกฉันว่าลุงจางดีกว่านะ เราคงได้ร่วมงานกันสนุกแน่เลย” คุณจางถูมืออย่างพอใจ “ตอนนี้เพิ่งเริ่มปีใหม่หลังตรุษจีน เราคงพอจะทำทันก่อนช่วงหยุดเช็งเม้งเดือนเมษายน ฉันหวังไว้นะ”

เมื่อทั้งสองค่อยๆ เดินลงจากหอตามแนวกำแพงเบื้องล่าง เฉินมองเห็นสาวสวมชุดเสื้อคลุมกันหนาวสีขาวยืนมองไปที่ทะเล ผมยาวสีดำถูกลมทะเลพัดจนปลิวไปด้านหลัง

จางส่งเสียงเรียก “เสี่ยวจุน ตื่นแต่เช้าเลย ดีแล้ว ลุงจะแนะนำให้รู้จักผู้ช่วยคนใหม่ ข้างนอกนี่ลมแรง เราเข้าไปคุยที่ห้องทำงานดีกว่านะ”

สาวที่ถูกเรียกว่า เสี่ยวจุน หันมายิ้ม เฉินมองหญิงสาวและนึกถึงเรื่องเล่าในพงศาวดารเกี่ยวกับจักรพรรดิเฉียนหลงของราชวงศ์ชิงได้หลงเสน่ห์ของสาวงามแห่งมณฑลชานตุง ขณะปลอมตัวเป็นสามัญชนเสด็จประพาสต้นที่เมืองจี่หนาน

และทำให้คิดว่า ความงามของหญิงสาวชานตงผู้นี้ทำให้เรื่องเล่าดังกล่าวมีความจริงอยู่ไม่น้อย

 

หลังจากแนะนำชื่อกันแล้ว คุณจางก็เสริมว่า “เสี่ยวจุนเขาเป็นญาติทางเมียลุง ตอนนี้มาช่วยดูแลเมียลุงที่ไม่ค่อยสบาย เขายังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชานตง พักเรียนชั่วคราวน่ะ ลูกชายลุงเขาไปทำงานอยู่เซี่ยงไฮ้ก็ไม่ค่อยกลับมาบ้าน เลยต้องรบกวนทางหนูจุนมาช่วย”

เฉินแอบมองดูสาวน้อยหน้าตางดงามใบหน้ารูปไข่ แก้มแดงระเรื่อด้วยลมเย็นจากทะเล รูปร่างบอบบาง นั่งเงียบๆ ไม่พูดจามากนัก และนึกประหลาดใจว่า ทำไมเธอต้องเสียสละการเรียนมาเพื่อดูแลคนป่วย ทำให้นึกเดาว่าคนป่วยคงอาการหนักพอควร

ขณะดื่มน้ำชาคลายหนาวในห้องทำงาน คุณจางก็เอ่ยขึ้น “เสี่ยวจุน ว่างๆ ก็มาชวนอาเฉินไปเดินเที่ยวในเมืองบ้างแล้วกัน เขาเพิ่งมาใหม่ จะได้คุ้นเคยกับเมือง แล้วก็จะได้ไม่เหงา”

“ค่ะ คุณลุง” เธอรับปากสั้นๆ “วันนี้หนูจะมาขออนุญาตคุณลุงเอาเครื่องโน้ตบุ๊กไปซ่อมที่ร้านค่ะ ดูเหมือนมันจะรวนอีกแล้ว”

“ลองให้ผมดูให้ก็ได้ครับ” เฉินรับอาสา “เผื่อจะพอช่วยซ่อมได้บ้าง”

“เอาสิ ดีเลย” จางรีบสนับสนุน “เสี่ยวจุนทิ้งโน้ตบุ๊กไว้ที่นี่แล้วกัน เดี๋ยวลุงต้องแนะนำอาเฉินกับพวกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แล้วเย็นนี้ลุงจะเอากลับไปให้ที่บ้านนะ”

ภายหลังการแนะนำตัวกับเจ้าหน้าที่คนอื่นที่นั่งทำงานอยู่ในห้องรวมแล้วไม่เกินสิบคน เฉินก็ได้โต๊ะทำงานของตัวเอง และมีภาระต้องสะสางเรื่องเดิมบางส่วนที่เจ้าหน้าที่คนเก่าเพิ่งลาออกไป โดยมีเพื่อนร่วมงานช่วยสอนงานเบื้องต้น ในวันแรกของการทำงานจึงหมดไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่เวลาพักกลางวันก็เป็นเพียงการพักสั้นๆ เฉินนั่งจมอยู่กับเอกสารที่ต้องมีการเขียนตอบโต้ตามแบบฟอร์มของระบบงานราชการ จนมารู้ตัวอีกทีเมื่อเพื่อนร่วมงานหายไปหมดห้องแล้ว และคุณจางเดินออกมาพร้อมโน้ตบุ๊กของสาวน้อย เพื่อขอให้เขาช่วยเช็กดู หลังจากลองปิดเปิดเครื่องและขยับเมาส์ไปมา เฉินก็รับสารภาพว่าอาการของเครื่องเกินที่เขาจะแก้ไขได้ คงต้องลองไปเช็กที่ร้าน ซึ่งคุณจางก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงบอกว่าพรุ่งนี้ให้เขาไปเป็นเพื่อนกับเสี่ยวจุนที่ในตัวเมือง จะได้เป็นโอกาสได้เที่ยวดูเมืองสักรอบหนึ่ง

เป็นอันหมดวันแรกของการทำงาน เฉินกลับมาพักที่ห้องเล็กๆ โดยมีอาอี๋ที่เป็นคนดูแลสถานที่ช่วยทำกับข้าวมื้อเย็นให้ พร้อมกับรับปากจะช่วยเรื่องซักเสื้อผ้า และแน่นอนว่าเงินเดือนของเขาคงต้องหักส่วนหนึ่งเป็นค่าธุรกรรมเหล่านี้ แต่เฉินรู้สึกเป็นบุญคุณเหลือหลาย เพราะเท่ากับผ่อนเบาภารกิจประจำวันไปเยอะ เขาปิดประตูห้องนอนและเริ่มติดต่อกับเพื่อนๆ ผ่านทางโน้ตบุ๊กส่วนตัว โดยเชื่อมต่อไวไฟกับสำนักงาน

 

เฉินรู้สึกหนักอึ้งในใจ เมื่อหวนคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ที่เมืองนี้ เช้าวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.2018 ปีที่แล้วนี้เอง วันนั้นพวกตำรวจสวมเครื่องแบบปราบจลาจลบุกเข้าอพาร์ตเมนต์ขนาดสี่ห้องนอน ที่เหล่านักกิจกรรมเช่าอาศัยอยู่รวมกันกับกรรมกรในเมืองฮุ่ยโจว ของเขตเซินเจิ้น ทางตอนใต้มณฑลกวางตุ้ง พวกตำรวจจู่โจมพังประตู และพบว่าเหล่านักกิจกรรมพากันคล้องแขนเพื่อขัดขืนการจับกุม พร้อมกับร้องเพลง “แองเตอร์นาซิอองนาล”

ด้วยกำลังที่มากกว่า ตำรวจจับกุมนักกิจกรรมไปร่วม 50 คน แม้ว่าภายหลังจะมีการปล่อยตัว แต่ยังมีอีกสิบกว่าคนถูกคุมขังอยู่ โชคดีที่วันนั้นเฉินไม่ได้อยู่ที่อพาร์ตเมนต์ เพราะไปทำธุระข้างนอก ทำให้เขารอดจากการถูกจับกุม และเขาหวังว่าจะไม่มีประวัติในแฟ้มตำรวจ หลังจากการปล่อยตัว ทางกลุ่มประชุมกันแล้วลงมติให้คนที่ไม่เคยโดนจับแยกย้ายกันไป เพื่อรักษาแกนนำของกลุ่มเอาไว้ แล้วจะประเมินสถานการณ์ว่าทางกลุ่มจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป

พวกเขาคือคนหนุ่มสาวที่ไม่ได้มุ่งหวังจะกอบโกยเงินทองชื่อเสียงหรือเกียรติยศส่วนตัว เฉินหวนคิด พวกเขาไม่ได้เป็นเช่นหนุ่มสาวจีนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้เป็นกัน แทนที่จะวิ่งตามกระแสทุนนิยมที่หลงใหลไขว่คว้าวัตถุ พวกเขากลับมีความเชื่อมั่นในระบบสังคมนิยมของประเทศจีน หนุ่มสาวเหล่านี้จัดตั้งกลุ่มศึกษาทำความเข้าใจแนวทฤษฎีมาร์กซ์-เลนิน และแน่นอนทฤษฎีของประธานเหมาด้วยความรู้ทางเทคโนโลยีสื่อสาร ทางกลุ่มได้สร้างแชตรูมทางอินเตอร์เน็ตเพื่อพูดคุยด้านทฤษฎี และค่อยๆ มีสมาชิกเพิ่มขึ้น

เมื่อแนวความคิดทางชนชั้นสุกงอม กลุ่มนักศึกษาที่คิดว่าตัวเป็นผู้นำชนชั้นกรรมาชีพใหม่ ก็มุ่งไปที่เขตเศรษฐกิจใหม่ เซินเจิ้น เขตอุตสาหกรรมใหญ่ที่สร้างความมั่งคั่งแก่จีน และแน่นอนว่าเป็นแหล่งที่เหล่ากรรมกรผู้ใช้แรงงานต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง พวกกลุ่มคนหนุ่มสาวได้เข้าไปสมัครงานในโรงงาน ทั้งๆ ที่จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ และสามารถเลือกเข้าทำงานในบริษัทดังๆ รับเงินเดือนสูงๆ แต่พวกเขากลับเลือกที่จะเรียนรู้ชีวิตของกรรมกร พยายามให้คนงานมีการรวมกลุ่มเพื่อจัดตั้งเป็นสหภาพแรงงาน และจัดการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิของผู้ใช้แรงงานในด้านเงื่อนไขการทำงานและค่าแรง

พวกหนุ่มสาวไฟแรงด้วยอุดมการณ์พยายามสร้างวิถีชีวิตให้เป็นไปตามอุดมคติที่วาดไว้ ด้วยการหาที่พักอยู่ด้วยกัน และแบ่งปันสมบัติร่วมกัน แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องมีการเสนอและแลกเปลี่ยนความเห็นในที่ประชุม ที่บางเรื่องก็น่าหัวเราะและหาข้อสรุปไม่ได้ อย่างเช่น การหั่นหัวมันเพื่อต้มน้ำซุป ก็ยังมีการถกเถียงว่าควรจะหั่นให้เป็นรูปทรงแบบไหน คือแบบรูปทรงเรขาคณิตที่ดูเป็นระเบียบ หรือจะหั่นตามใจชอบ ซึ่งลงท้ายก็แล้วแต่เวรคนทำครัวที่คิดว่าหั่นแบบใดสะดวก และยังมีเรื่องการเสนอให้รองเท้าเป็นสมบัติกลาง ที่ใครก็ใส่ของคนอื่นได้ หากเจ้าของถอดวางไว้และยังไม่ได้ใช้ไปไหน ซึ่งเรื่องหลังถูกยกเลิกไปเพราะมีข้อจำกัดเรื่องสุขอนามัย หากใช้รองเท้าร่วมกัน

ก่อนหน้าเหตุการณ์ 24 สิงหาคม 2018 พวกเขายึดมั่นในอุดมการณ์ของการเป็นชาวคอมมิวนิสต์ที่ดีและสนับสนุนท่านประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เพื่อนหญิงคนหนึ่งในกลุ่มยังเคยส่งจดหมายเปิดผนึกถึงท่านประธานาธิบดีแสดงความชื่นชมนโยบายปราบปรามคอร์รัปชั่น และเขียนว่าเธอได้รับแรงบันดาลใจอย่างใหญ่หลวงในประวัติของท่านตอนเป็นหนุ่มที่ได้ออกไปทำงานในหมู่บ้านยากจนในชนบทของจีน แต่หลังเหตุการณ์บุกเข้าจับกุมครั้งนั้น ทางกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เป็นหนุ่มสาวพากันงงงันกับเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเขานั่งวิเคราะห์และหารือถกเถียงกัน ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเหตุการณ์จับกุมเกิดจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำกันเอาเองเพราะอาจได้สินบนจากเจ้าของโรงงาน แต่อีกฝ่ายเห็นว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคงไม่กล้าทำรุนแรงขนาดนี้หากไม่ได้ไฟเขียวจากส่วนกลาง แต่ไม่ว่าสาเหตุแท้จริงจะเป็นด้านใด กลุ่มนักกิจกรรมก็ลงความเห็นให้คนที่เคยถูกจับกุมและปล่อยตัวออกมาแล้วเป็นส่วนที่เปิดเผยจะยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวต่อไป ส่วนคนที่ไม่ถูกจับกุมให้กระจายตัวกบดานชั่วคราว เพื่อมิให้ถูกทางการเพ่งเล็งจับผิด และให้รอโอกาสการขยายตัวและร่วมทำกิจกรรมกันในวันข้างหน้า

เฉินคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆ ทางอินเตอร์เน็ตอย่างระมัดระวังภายใต้ชื่อแอ็กเคาต์ปลอม และไม่แสดงความเห็นอย่างโจ่งแจ้ง แม้แต่การคุยทางมือถือผ่านแอพพ์วีแชตก็จำกัดแค่ทักทายทั่วๆ ไปโดยแฝงรหัสที่ซ่อนความหมายไว้เขาได้ส่งข่าวไปว่ามุ่งหวังที่จะได้กลับไปสมทบกับทางกลุ่มและทำการเคลื่อนไหวได้อีกในเร็ววัน แต่คำตอบยังคงเป็นเช่นเดิมคือ ให้เขาอยู่ห่างจากกิจกรรมด้านเปิดของกลุ่มในช่วงเวลานี้ และให้การสนับสนุนกลุ่มอย่างลับๆ ต่อไป

ดังนั้น เขาคงต้องรับบทบาทผู้ช่วยภัณฑารักษ์ผู้ขยันขันแข็งไปก่อน

 

เฉินและเสี่ยวจุนขึ้นรถประจำทางเข้าไปในเขตเมืองใหม่ เพื่อนำโน้ตบุ๊กไปซ่อม ช่างของร้านเช็กแล้วก็บอกว่าต้องเปลี่ยนอะไหล่บางตัว ให้พวกเขาออกไปทำธุระอื่นสักสองสามชั่วโมงค่อยกลับมารับเครื่อง ทั้งสองหนุ่มสาวจึงพากันไปเดินดูห้างสรรพสินค้าใหญ่ของเมือง และนั่งพักดื่มชานมไช่มุก รอเวลากัน เฉินได้รู้ว่าสาวน้อยกำลังเรียนภาควิชาเภสัชศาสตร์อยู่ปีสาม และคุณนายจางซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด ต้องมีคนช่วยดูแล เพราะคุณจางอยู่คนเดียว เธอเห็นว่าไม่เสียหายอะไรถ้าเธอต้องลาพักเรียนสักช่วงหนึ่งเพื่อมาช่วยดูแล และเธอยังสามารถตามคอร์สเรียนได้ทางอินเตอร์เน็ต ที่เพื่อนๆ ช่วยแบ่งปันมาให้

“แหม ช่างประจวบเหมาะมากเลย อันที่จริงผมจบเภสัชศาสตร์จาก ม.ปักกิ่ง เมื่อปีก่อน แล้วทางบ้านอยากให้ผมเรียนต่อโททางด้านบริหารธุรกิจ ผมเลยขอมาลองฝึกทำงานที่นี่ก่อน ผมคงพอช่วยติวให้ได้น่ะครับ”

สาวน้อยยิ้มกว้างอย่างดีใจ “เท่ากับพระมาโปรดตามคำขอเลยล่ะ”

ความสนิทสนมก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว การสนทนาเลื่อนไหลไปไวพอๆ กับเวลา แล้วก็ได้เวลาไปรับโน้ตบุ๊กและกลับไปที่ทำงาน ระหว่างทางกลับสาวจุนเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า แม้อาการของป้าจางจะยังทรงๆ อยู่ แต่สิ่งที่เธอและลุงจางกังวลคือ ยารักษาโรคมะเร็งของป้าที่ราคาสูงมาก เพราะเป็นยาที่ต้องนำเข้า และประกันสุขภาพก็ไม่สามารถครอบคลุมค่ายาได้ทั้งหมด เงินสะสมต้องถูกนำออกมาใช้ แม้ตอนนี้ยังพออดทนมัธยัสถ์ในเรื่องต่างๆ แต่หากเนิ่นนานออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะแบกภาระได้นานแค่ไหน

“ตอนนี้ ฉันกำลังลองหาตัวยาในอินเตอร์เน็ต ที่พอจะหาซื้อได้จากทางอินเดีย เพราะราคาถูกกว่าประเทศอื่น”

“แต่นั่นอาจจะส่งผลลบต่อการรักษาได้นะ แถมยังอาจผิดกฎหมายด้วยเพราะเป็นยาที่ทางการยังไม่ได้อนุมัติ” เฉินเอ่ยค้าน “เธออาจถูกตำรวจจับ เพราะนำเข้ายาที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากทางการ”

“เรารู้เรื่องนั้นดีค่ะ ลุงจางกับฉันรู้เรื่องความเสี่ยง แต่ถ้าเป็นหนทางสุดท้าย เพื่อแลกกับชีวิตของป้า เราก็คงต้องทำ ฉันเจอเว็บไซต์ทางอินเตอร์เน็ตที่ให้คำปรึกษาเรื่องการรักษามะเร็งและลู่ทางการซื้อขายยา มีอยู่สองกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า ‘ฉันต้องการปาฏิหาริย์’ กับกลุ่ม ‘เต้นรำกับมะเร็ง’ นี่แหละค่ะคือสภาพแท้จริงของสาธารณสุขจีน คนป่วยกับญาติต้องดิ้นรนกันเอาเอง พวกหมอยุ่งเกินกว่าที่จะอธิบายเรื่องการรักษาที่แจ่มแจ้งให้ฟัง พวกเราต้องหาทางศึกษาค้นคว้ากันเอาเอง”

“เธอจะทำอะไร กลุ่มพวกนี้อาจเป็นพวกหลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อหาเงินจากญาติคนป่วยที่สิ้นหวัง” เฉินเอ่ยขึ้น

“คุณถึงต้องมาช่วยเราไงคะ คุณมีความรู้ทางเภสัชมากกว่าฉัน คุณคือคำตอบของคำภาวนาที่เราขอกับท่านเซียนทั้งแปด” •