The Snowman

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

หนังการ์ตูนความยาว 26 นาทีเรื่อง The Snowman นี้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในอังกฤษ สร้างเมื่อปี 1982 จากงานเขียนปี 1978 ของเรย์มอนด์ บริกกส์ (Raymond Briggs 1934-2022) นักเขียนการ์ตูนชาวอังกฤษซึ่งเพิ่งจะถึงแก่กรรมไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีนี้เอง

เป็นหนังการ์ตูนเงียบประกอบเพลง ไม่มีบทพูด เปิดฉากในคืนหนาวเหน็บหิมะโปรยปรายไม่ขาดสาย บ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพ่อ แม่และเด็กชายตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งหิมะที่ขาวโพลน

เด็กชายนอนเล่นบนเตียงไม่มีอะไรทำ ตุ๊กตาหมีนอนหงายเท้าชี้ฟ้าอยู่บนพื้นดิน เด็กชายพลิกตัวมาพบหิมะตกหนักไม่ขาดสายก็ดีใจรีบแต่งตัวออกไปเล่นหิมะอย่างร่าเริง แค่วิ่งไปมาก็สนุกแล้ว

เด็กชายกำหิมะปั้นเป็นก้อนแล้วปาเล่น เขาปาถูกกระจกหน้าต่างโดยไม่ทันระวัง แม่เปิดประตูมาเตือน เด็กชายก็หยุดเล่นหันไปหาอย่างอื่นทำต่อ หิมะหยุดตกแล้วแต่เขายังไม่อยากเข้าบ้านแม้ว่าแม่จะออกมาเรียกเป็นระยะๆ

เด็กชายเริ่มปั้นมนุษย์หิมะ เขาโกยหิมะมากองเป็นลำตัวแล้วต้องหยุดกลางคันเพราะแม่เรียกกินข้าวเสียก่อน กินข้าวเสร็จแล้วเด็กชายออกไปปั้นต่อ เขาทำหัวกลมวางบนลำตัว วิ่งเข้าบ้านหาหมวกและผ้าพันคอมาให้มนุษย์หิมะ วิ่งเข้าครัวเอาผลไม้ลูกกลมสีส้มมาแปะเป็นจมูก วิ่งเข้าบ้านเอาถ่านมาแปะเป็นกระดุมเสื้อและลูกตา จากนั้นใช้นิ้วมือขีดเป็นรูปปากกำลังยิ้ม เสร็จแล้วมนุษย์หิมะของเด็กชาย

ถึงตรงนี้เสียงดนตรีประกอบเริ่มคุ้นหูฟังไพเราะแม้จะฟังได้เพียงไม่นาน

เด็กจะหาอะไรทำเสมอ เป็นธรรมชาติของพวกเขาที่จะไม่หยุดนิ่ง เมื่อเราห้ามหนึ่งเขาจะหันไปทำอีกหนึ่ง ไม่มีอะไรหยุดยั้งพวกเขาได้เพราะพวกเขามีภารกิจสำคัญคือพัฒนาตัวเองเข้าหาสิ่งแวดล้อม ขายืนขึ้น เดินไปข้างหน้า ส่วนนี้เป็นหน้าที่ของขา มือยื่นออกไปคว้าและ “สร้าง” อะไรบางอย่างด้วยนิ้วมือทั้งสิบ นี่เป็นหน้าที่ของมือ

ดร.มาเรีย มอนเตสซอรี เขียนว่าพัฒนาการของขาเป็นเรื่องทางชีววิทยา กล่าวคือ เด็กทุกคนมีภารกิจเหมือนกันคือยืนสองขาและเดินด้วยเท้า

แต่พัฒนาการของมือเป็นเรื่องทางจิตวิทยา เหตุเพราะเด็กแต่ละคนมีโอกาสใช้มือต่างกัน เช่น เด็กบางคนถูกบังคับให้เรียนหนังสือตั้งแต่เล็กก็จะใช้มือเขียน

เด็กบางคนต้องทำงานหนักในไร่นาตั้งแต่เล็กก็จะใช้มือทำไร่นา

เด็กบางคนมีโอกาสที่ดีกว่าได้เล่นและทำงานตามที่ตนเองสนใจอย่างอิสระ ดังเช่น เด็กชายที่เล่นปาก้อนหิมะก่อนจะหันมาปั้นและสร้างมนุษย์หิมะ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง

การใช้มืออย่างเชี่ยวชาญยังสะท้อนถึงสติปัญญาที่รอบด้านอีกด้วย

 

เมื่อเด็กชายปั้นมนุษย์หิมะเสร็จแล้วจึงเข้าบ้าน เขาเปลี่ยนชุดมานั่งอยู่กับพ่อแม่แต่ก็นั่งได้ไม่นานต้องขึ้นนอนเมื่อพ่อเตือนว่าถึงเวลา เด็กชายขึ้นนอนแต่ไม่หลับ เขารอจนถึงเที่ยงคืนเมื่อพ่อแม่หลับหมดแล้วใส่เสื้อหนาวแล้วย่องออกนอกบ้านไปหามนุษย์หิมะที่เดียวดายอยู่หน้าบ้าน พอนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนมนุษย์หิมะพลันมีชีวิตและหันมาหาเด็กชายพร้อมด้วยรอยยิ้ม

ทั้งหมดนี้คือห้านาทีแรกเท่านั้น หนังดีมาก

เด็กๆ จะไม่หยุดเพียงแค่การเล่น ทำงาน หรือสำรวจ เหล่านี้ทำด้วยมือและเท้า พวกเขาจะไปต่อด้วยใจ การสร้างมนุษย์หิมะเป็นเพียงงานที่ทำด้วยมือซึ่งจะไม่มีเด็กคนไหนหยุดเท่านั้น เขาทำให้มนุษย์หิมะยิ้มได้ด้วยใจ แล้วมอบชีวิตให้แก่มนุษย์หิมะ คือ animism ด้วย animation

เสมือนหนึ่งทีมงานหนังการ์ตูนชุดนี้ทำกับหนังสือของเรย์มอนด์ บริกส์

เด็กชายแอบพามนุษย์หิมะเข้าบ้านกลางดึก สองคนเดินสำรวจ จากห้องนั่งเล่น ไปที่ห้องครัว แล้วขึ้นข้างบนไปที่ห้องนอนพ่อแม่อย่าน่าหวาดเสียว ตามด้วยห้องของเด็กชายเอง พวกเขาเล่นซนไปทุกที่ คนหนึ่งคือเด็กชาย อีกคนหนึ่งคือเพื่อนในจินตนาการ (imaginary companion) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพ่อแม่ไม่สามารถเล่นด้วยได้

ฉากในห้องนั่งเล่นน่าขำ ในครัวน่ารัก บนห้องนอนพ่อแม่น่าหวาดเสียว แล้วมาสนุกสุดเหวี่ยงที่ห้องของเด็กชาย ดนตรีประกอบยังคงทำงานต่อไปอย่างซื่อสัตย์และไพเราะมากขึ้นทุกทีๆ

ยังไม่หยุด จากในบ้านไปนอกบ้าน สองคนขี่จักรยานยนตร์ที่จอดทิ้งไว้ไปทั่วป่า ไม่ลืมที่จะสวมหมวกกันน็อกด้วย จากนั้นเด็กชายพามนุษย์หิมะมาที่โรงเก็บของเพื่อแช่เย็นในตู้แช่สักพัก มนุษย์หิมะพบปลา เขาพาเด็กชายบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

ถึงตอนนี้ใจของเด็กมิได้จำกัดแค่ตัวบ้านหรือรอบบ้านอีกแล้ว โบยบินไปไกลมาก ผ่านมนุษย์หิมะอีกหลายตัวที่ลอยล่องตามมา ข้ามน้ำข้ามทะเล ไปจนถึงขั้วโลก พบแสงเหนือและปลาวาฬ ร่วมงานรื่นเริงมนุษย์หิมะ มีของกิน เครื่องดื่ม และงานเต้นรำ

ที่ศูนย์กลางนั้นย่อมเป็นซานตาคลอส

หนังสือของเรย์มอนด์ บริกส์ มิได้ลงรายละเอียดมากมายเท่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากสุดท้ายที่ขั้วโลกกับซานตาคลอสเป็นส่วนที่แต่งเติมเข้ามา บริกส์เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขามิได้คิดถึงคริสต์มาสเท่าไรนักตอนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ มีคืนหนึ่งที่เขาตื่นมากลางดึกอันหนาวเหน็บในคืนที่หิมะโปรยปรายและรู้สึกเดียวดายเท่านั้นเอง หนังสือของเขาเล่าเรื่องความเปลี่ยวเหงาของเด็กชาย

จนกระทั่งถึงตอนจบหนังสือเล่าเรื่องการพลัดพรากและอาจจะหมายถึงความตายได้ด้วย หนังจบลงแบบเดียวกับหนังสือในฉากสุดท้าย

แม้หนังจะเพิ่มเติมมากมาย เพิ่มต้นคริสต์มาสที่กลางเรื่องและซานตาคลอสที่ท้ายเรื่องแต่มิได้ลดทอนคุณค่าของต้นฉบับ หนังการ์ตูน 26 นาทีนี้ได้รับคำชื่นชมมากมายจนถึงทุกวันนี้ และมี The Snowman and the Snowdog ตามมาอีกในปี 2012

อำนวยการสร้างโดย John Coates กำกับฯ โดย Dianne Jackson ดนตรีโดย Howard Blake เพลงเอกคือ Walking in the Air เป็นเพลงหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมเปิดในช่วงคริสต์มาส

หนังสือ The Snowman ฉบับดั้งเดิมเป็นช่องการ์ตูนไม่มีบทบรรยายใดๆ มีรายละเอียดการผจญภัยแตกต่างจากที่เห็นในหนัง

ส่วนหนังสือนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กเล็กที่ออกติดตามมาได้ตัดทอนรูปภาพออกเหลือเฉพาะเนื้อเรื่องหลักและเขียนคำบรรยายโดยเรย์มอนด์ บริกส์ เอง •

 

การ์ตูนที่รัก | นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์