ผ่านจาก ‘อีเข่า’ เข้าสู่ด่าน ทารกเบญจพิษ ลี้คิมฮวง คือเป้า | บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

ผ่านจาก ‘อีเข่า’

เข้าสู่ด่าน ทารกเบญจพิษ

ลี้คิมฮวง คือเป้า

 

สถานการณ์เมื่อเผชิญหน้ากับหัตถ์อสูรเขียว อีเข่า ส่งทั้งผลดีและผลอันเลวร้ายต่อลี้คิมฮวงและขบวนที่เดินทางไปยังวัดเสียวลิ้มยี่

ผลดีคือความประทับใจ

ดังเห็นได้จากซิมไบ๊ไต้ซือเมื่อเหลียวมองไปยังลี้ชิ้มฮัวแล้วกล่าว “ท่านถึงกับยอมลงมือช่วยเหลือ กลับเป็นที่นอกเหนือของอาตมายิ่ง”

กระนั้น เมื่อฟังคำของฉั้งฉิกที่เดินทางร่วมด้วย

“ข้าพเจ้าเพียงถามมัน ยินยอมติดตามพวกเราไปเสียวลิ้มยี่ หรือยินยอมตกอยู่ในมืออีเข่า จากนั้น จึงคลายจุดที่สองแขนให้มัน มอบมีดสั้นแก่มันเล่มหนึ่ง”

นั่นก็เป็นไปตามคำกล่าวจากลี้คิมฮวง “หากท่านยอมคลายจุดของข้าพเจ้า มันก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้”

อันนำไปสู่คำกล่าวอย่างยิ้มแย้มจากฉั้งฉิก

“หากเราคลายจุดแก่ท่านจนหมดสิ้น ท่านก็จะหนีเอง ท่านมีมือเคลื่อนไหวได้คู่เดียว มีมีดซัดได้เล่มเดียว แต่ยังคงสามารถทำร้ายอีเข่าจนบาดเจ็บหลบหนีไป บุคคลเช่นดังท่านเราไหนเลยไม่ระวังเป็นพิเศษ รอบคอบรัดกุมเป็นพิเศษได้”

อันนำไปสู่คำรำพึงของซิมไบ๊ไต้ซือ “เซี่ยวลี้ปวยตอ โอ มีดสั้นที่เลวเหลือร้าย”

 

กระนั้นก็ใช่ว่าการลอบทำร้ายจะจบสิ้น วัดเสียวลิ้มยี่มีวินัยอันเข้มงวดขณะที่หลวงจีนฉันอาหารมิเพียงไม่กล่าววาจา หากถึงกับไม่มีเสียงอื่น

บนโต๊ะแม้มีผักไม่กี่อย่าง บวกตรากตรำเดินทาง ท้องหิวกระหายจึงฉันได้มากเป็นพิเศษ

มีแต่ซิมไบ๊ไต้ซือที่เพิ่งทุเลาจากอาการบาดเจ็บ เพียงฉันข้าวต้มเหลวคลุกน้ำตาลชามหนึ่งก็ไม่ยกตะเกียบคีบกับอีก ส่วนฉั้งฉิกสั่งอาหารเลิศรสมาหลายจาน ตระเตรียมรับประทานเพียงลำพัง

ลี้ชิ้มฮัวคีบเต้าหู้ขึ้นมาเพิ่งส่งถึงมุมปากก็ปล่อยวาง “กับนี้รับประทานไม่ได้”

พร้อมกับยืนยัน “ในกับมีพิษ”

แม้เบื้องต้นจะมีเสียงทัดทานจากฉั้งฉิก “หากลี้ท้ำฮวย (ท้ำฮวยแซ่ลี้) ไม่คุ้นกับการรับประทานอาหารพื้นๆ เช่นนี้ได้แต่ทนหิวโหยแล้ว”

และถึงกับหัวร่อ “มิให้ท่านดื่มสุรา ท่านก็เล่นลวดลายจริงๆ เราทราบว่าท่าน…”

เสียงหัวร่อของมันพลันชะงักค้าง คล้ายถูกผู้คนบีบเค้นลำคอไว้ ทั้งนี้ เพราะพบว่าสีหน้าของหลวงจีนทั้ง 4 รูปแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่น

แต่พวกท่านเองคล้ายไม่รู้สึกตัว ยังคงก้มหน้าฉันอยู่

 

เมื่อฟังคำเตือนจากลี้ชิ้มฮัว เมื่อพบเห็นการฉันอย่างต่อเนื่องของ 4 หลวงจีน ซิมไบ๊ไต้ซือถึงกับหน้าเปลี่ยนสีกล่าวด้วยเสียงอันแหบพร่า

“รีบด่วน รีบเกร็งลมปราณจากจุดตังชั้ง คุ้มครองชีพจรหัวใจไว้”

แรกรับฟัง 4 หลวงจีนวัดเสียวลิ้มยี่ยังไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด แต่ไม่ทันชวดฉลูขาลเถาะ

ทั้ง 4 สบตากันวูบพากันร้องขึ้น “สีหน้าของท่านไฉน”

ไม่ทันขาดคำ หลวงจีนทั้ง 4 ล้มลง รอจนซิมไบ๊ไต้ซือเพ่งมองดู ใบหน้าทั้ง 4 ใบล้วนแปรเปลี่ยนจนผิดสารรูป

ดวงตา จมูก ปาก รวมเป็นกระจุกเดียว

หลวงจีนทั้ง 4 มิเพียงถูกพิษที่ไร้สี ไร้รส มิหนำซ้ำ ผู้ที่ถูกพิษไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย รอจนรู้สึกก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้

“นี่เป็นพิษอันใด ไฉนร้ายกาจถึงเพียงนี้” เป็นคำถามจากฉั้งฉิก

 

ความร้ายกาจของพิษย่อมสร้างความโกรธแค้นอย่างใหญ่หลวง ไม่เพียงแต่ซิมไบ๊ไต้ซือจะเค้นถามจากผู้รับใช้อย่างเกรี้ยวกราด

ท่ามกลางเสียงท้วงติงอย่างเนือยหน่ายจากลี้ชิ้มฮัว

“หน้าโง่ หากเป็นข้าพเจ้าแพร่พิษคงหนีหายไปแต่แรก ยังจะอยู่ที่นี่ชมดูความสนุกสนานอันใด”

ขณะที่ฉั้งฉิกกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ต่อให้พวกเราล้วนถูกพิษเสียชีวิต ท่านก็หนีไม่รอด ไม่ว่าอย่างไรเราต้องให้ท่านอยู่เป็นเพื่อนเรา เรามีชีวิตรอดท่านก็มีชีวิตรอด เราตกตายท่านก็ต้องตกตาย”

ลี้ชิ้มฮัวยิ้มเล็กน้อย

“คิดไม่ถึงท่านมีน้ำใจผูกพันต่อข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ท่านมิใช่หญิงงามแห่งยุคข้าพเจ้าพานไม่มีความสนใจในบุรุษเพศเดียวกัน”

ยิ่งเมื่อเกิดสภาวะผ่อนคลาย เมื่อพ่อครัวใหญ่ผัดผัก 2 อย่าง พ่อครัวรองจัดหาสุรามาป้านหนึ่งเพื่อดื่มกิน

ความโกลาหลใหม่ยิ่งตามมาอย่างน่าสยดสยอง

 

ซิมไบ๊ไต้ซือแม้ขุ่นแค้นจนกระวนกระวาย แต่เมื่อเห็นพวกมันกลับต้องตะลึงลาน ใบหน้าของทั้งสองถึงกับเปลี่ยนเป็นสีดำ

พ่อครัวใหญ่ที่มึนอยู่เล็กน้อยกล่าว “หรือไต้ซือก็คิดลอบมาดื่มสักจอก”

กล่าวไม่ทันจบคำ ร่างก็หงายตึงไปที่ด้านหลัง พอดีล้มใส่เตา หม้อเหล็กบนเตาล้มใส่หม้อน้ำมัน

น้ำมันไหลเข้าไปในหม้อเหล็กเป็นประกายแวววับ

ในน้ำมันอันเป็นประกายถึงกับมีตะขาบตัวแดงฉานปานเปลวไฟอยู่ตัวหนึ่ง ที่แท้พิษอยู่ในน้ำมันนี่เอง

พ่อครัวใหญ่ (ตั่วซือแป๋) ใช้น้ำมันนี้ผัดผักให้หลวงจีนฉัน

จากนั้น ใช้น้ำมันกระทะเดียวกันนี้ผัดกินกันเอง ดังนั้น มันจึงพลอยเสียชีวิตไปโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

นับว่าหาพิษออกมาได้แล้วก็จริง แต่เป็นผู้ใดใช้พิษมาคิดทำร้าย

 

ลี้คิมฮวงเหม่อมองดูตะขาบในหม้อน้ำมัน ถอนใจยาวกล่าวขึ้น “เรารู้แต่แรกแล้วว่า มันจะเร็ว จะช้าย่อมต้องมาแน่”

เท่ากับได้บรรลุถึง “บางอ้อ”

“พิษในโลกพอจะแบ่งเป็น 2 ประเภท 1 คือพิษของพืชพันธุ์สมุนไพร อีก 1 คือพิษของหนอนแมลง

ที่กลั่นพิษจากพืชมีจำนวนมากกว่า ที่สามารถรีดพิษจากหนอนแมลงมีจำนวนน้อยกว่า

ที่สามารถใช้พิษหนอนแมลงฆ่าคนโดยไม่มีวี่แวว ร่องรอย มองทั่วพิภพจบแดนมีเพียงคน 2 คนเท่านั้น”

ฉั้งฉิกโพล่งขึ้นสุดเสียง

“ท่าน ท่านหมายถึง ‘ทารกเบญจพิษ’ (โง้วตั๊กทงจื้อ) ของถ้ำ ‘สุดสำราญ’ (เก็กลักตั่ง) ในดินแดนชาวแม้วกระนั้นหรือ มันไฉนมาตงง้วน ด้วยจุดประสงค์ใด”

“มาหาข้าพเจ้า”

ได้ยินดังนั้นฉั้งฉิกทราบดีว่าลี้คิมฮวงต้องไม่มีสหายเช่นนี้เด็ดขาด ดังนั้น จึงออกมาเป็นบทสรุปอันรวบรัดยิ่งว่า

“ดูท่า สหายของท่านมีไม่มาก แต่ศัตรูกลับมีไม่น้อย”

 

เหลือเพียง 2 วันก็จะบรรลุถึงวัดเสียวลิ้มยี่ ขบวนที่เหลือเพียง 3 คนจึงมากด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างสูง

เนื่องจาก 2 วันนี้ต้องเป็น 2 วันที่ยาวนานที่สุด

ด้านหนึ่ง เดินทางต่อไปอย่างเร่งร้อน ด้านหนึ่ง ตลอดสองรายทาง มิว่าผู้ใดไม่ยอมเอ่ยถึงการดื่มกินอีกเลย

ไม่ว่าจะเป็นหมี่เนื้อวัวชามหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหมั่นโถวหลายใบเบื้องหน้า

อันนำไปสู่บทสรุปจากฉั้งฉิก ณ เบื้องหน้า ซิมไบ๊ไต้ซือ “มาตรว่าไม่ดื่ม ไม่กินก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์ มันอาจบางทีรอจนพวกเราหิวโหย สิ้นเรี่ยวแรงแล้วจึงมาลงมือ

ที่มันต้องการใช้พิษปลิดชีวิต มิใช่ไต้ซือ และก็มิใช่ข้าพเจ้า”

พูดพลางชำเลืองไปที่ลี้คิมฮวงแวบหนึ่ง ชะงักวาจาไว้ไม่กล่าวต่อ เห็นเช่นนั้นซิมไบ๊ไต้ซือหน้าเครียด เย็นชา

“ในเมื่ออาตมารับปากคุมคนผู้นี้กลับเสียวลิ้มยี่ย่อมไม่ยอมปล่อยให้มันตาย”

ฉั้งฉิกมิได้กล่าวกระไรอีก แต่พอเหลือบไปที่ลี้คิมฮวงดวงตาก็มีประกายลุกวาวคล้ายดั่งตกลงใจไปแล้ว

พอกลิ่นหอมของขนมเปี๊ยะทอดลอยมาตามสายลมก็กลายเป็นประเด็น

 

สําหรับกับคนที่ไม่มีข้าวสักเม็ด น้ำสักหยดตกถึงท้อง ความหอมของขนมเปี๊ยะทอดนี้ช่างเย้ายวนอย่างแท้จริง

เห็นที่มุมถนนการค้าดียิ่ง มีผู้คนไม่น้อยเข้าแถวรอจะซื้อ

ผู้ที่ซื้อได้จะใช้ต้นหอมจุ่มซีอิ๊วหวาน รับประทานกับขนมเปี๊ยะร้อนๆ บางคนรับประทานเสร็จยังยกแขนเสื้อเช็ดปาก

หามีผู้คนถูกพิษเสียชีวิตไม่

ฉั้งฉิกอดถามขึ้นมิได้ว่า “ขนมเปี๊ยะนี้รับประทานได้หรือไม่”

“ผู้อื่นล้วนรับประทานได้ มีแต่พวกเรารับประทานไม่ได้ ต่อให้ผู้คนหมื่นคนรับประทานขนมเปี๊ยะนี้ยังไม่มีเรื่องราวใด พวกเราพอรับประทานต้องถูกพิษเสียชีวิต”

นี่ย่อมเป็นคำเตือนจากลี้ชิ้มฮัว

คำพูดนี้หากกล่าวเมื่อ 2 วันก่อนฉั้งฉิกย่อมไม่ยอมเชื่อ แต่ตอนนี้พอหวนนึกถึงความลึกล้ำพิสดารในการแพร่พิษของ “ทารกเบญจพิษ” ก็อดขนลุกเกรียวมิได้