ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 พฤศจิกายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]
First Drive “วอลโว่ S90” รวมที่สุดเทคโนโลยีขับขี่
เป็นความโชคของผมไม่น้อยที่หลังจากวอลโว่เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ “เอส90” เครื่องยนต์ทวิน เอนจิ้น “ปลั๊กอินไฮบริด” ที่ออกมาทำตลาดคู่กับรุ่นเครื่องยนต์น้ำมันอย่างเดียวไม่นาน ก็มีโอกาสหยิบยืมมาทดสอบ
จริงๆ แล้ววอลโว่ เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ผมมีโอกาสสัมผัสไม่มากนัก ด้วยหลายๆ ปัจจัย สาเหตุหลักๆ มาจากทีมทดสอบ “ข่าวสด ยานยนต์” ได้รับเชิญไปร่วมทดสอบแบบกลุ่มบ่อยครั้ง
แต่ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ขับทดสอบมากนัก แต่ด้วยหน้าที่การทำงานต้องติดตามความเคลื่อนไหวของค่ายรถต่างๆ ให้รู้สึกทึ่งกับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของค่ายรถจากสวีดิชรายนี้
โดยเฉพาะ “เอส90” ที่ถือว่าเป็นเก๋งใหญ่ของค่าย จัดมาครบถ้วนมากๆ
รุ่นที่ได้มาทดสอบเป็น “เอส90” ทวิน เอนจิ้น “ปลั๊กอินไฮบริด” รุ่นท็อป
การออกแบบรถวอลโว่ ในช่วงหลังๆ ต้องบอกว่าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเน้นความสปอร์ตมากขึ้น ไม่ได้เป็นเหลี่ยม เป็นกล่องเหมือนในอดีต
เอส90 ก็เช่นกัน รูปร่างหน้าตาภายนอกออกแนวสปอร์ตซีดาน และมีอารมณ์คูเป้แฝงอยู่นิดๆ
ด้านหน้าชัดเจนว่ามีเอกลักษณ์กระจังหน้าขนาดใหญ่พร้อมสัญลักษณ์ใหม่ เด่นสุดไม่พ้นไฟหน้าแอลอีดีทรงค้อนเทพเจ้าธอร์ คนทั่วโลกรู้จักดีจากภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเทรนด์ของรถวอลโว่ในรุ่นหลังๆ ทั้งหมด ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ซ่อนไฟวิ่งตอนกลางวันไว้ในโคมเดียวกัน
ด้านล่างตกแต่งด้วยแถบโครเมี่ยมดูหรูหราและแกร่งๆ ตามสไตล์วอลโว่ ติดตั้งกล้องและตัวเซ็นเซอร์รอบคัน ซึ่งจะส่งสัญญาณเตือนไปยังระบบตัวช่วยต่างๆ เพื่อความปลอดภัย และจะส่งภาพรอบคันมาที่จอด้านในเวลาเข้าเกียร์ถอย
ด้านหลังมีการออกแบบที่โค้งมน ดูพลิ้วไหวมากขึ้น ไฟท้ายเป็นรูปตัวซี แบบแอลอีดีเช่นกัน
แนวหลังคาด้านหลังลาดลงเล็กน้อย โดยไอเดียมาจากรถสปอร์ตรุ่นเก่า คือวอลโว่ “พี 1800” รถดังในยุค 1960
ฝากระโปรงท้ายมีระบบเปิด-ปิดโดยใช้เท้าแหย่เข้าไปใต้ท้องรถ จะสะดวกเวลาหอบของพะรุงพะรัง ถือเป็นอ็อปชั่นมาตรฐานของกลุ่มรถยุโรป ที่เก็บของกระโปรงท้ายกว้างและลึกมาก ใหญ่โตจริงๆ
ล้อขนาดใหญ่ 19 นิ้ว เต็มซุ้มพอดี
ภายในยังคงสไตล์เรียบหรูแบบสแกนดิเนเวีย แต่แฝงด้วยความไฮเทค เน้นสีครีมตัดกับสีดำตกแต่งด้วยโครเมี่ยม ขณะที่คอนโซลหน้ามีลายไม้สีอ่อนดูเนียนตา
พวงมาลัย 3 ก้านระบบมัลติฟังก์ชั่น ด้านซ้ายเป็นปุ่มล็อกความเร็วและระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ “ไพล็อต แอสซิส”
แผงหน้าปัดเป็นจอขนาด 12.3 นิ้วแสดงผลกราฟิก บอกรอบเครื่องและความเร็วอยู่ซ้าย-ขวา ส่งตรงกลางแสดงระบบนำทาง
ตรงกลางเป็นจอสัมผัสแสดงผลขนาด 9 นิ้วควบคุมทุกอย่างของรถ วิธีใช้ปัดไป-มาคล้ายๆ สมาร์ตโฟน หรือไอแพด
หน้ากากช่องลมแอร์ขนาบ 2 ฝั่งของหน้าจอวางในแนวตั้งฉาก ปุ่มปรับออกแบบคล้ายๆ เพชรดูหรูหรา เข้ากันดีกับคันเกียร์
เบาะนั่งปรับไฟฟ้าเป็นหนังนาปป้าสีครีม ที่เท้าแขนมีที่เสียบยูเอสบี
ด้านหลังกว้างมากติดตั้งแอร์บริเวณเสาบีสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง แต่สำหรับผู้โดยสารคนที่ 5 อาจไม่สะดวกนักเพราะมีอุโมงค์ตรงกลาง
เบาะหลังพับได้ 60-40
จะว่าไปการออกแบบเหมือนกับต้องการให้คนซื้อได้ขับจริงๆ ไม่เหมือนเก๋งใหญ่ของค่ายยุโรปอื่นๆ ที่เน้นมีคนขับมากกว่า
อีกจุดเด่นคือระบบเครื่องเสียง ลำโพง “โบเวอร์ แอนด์ วิลกิ้น” ระดับไฮเอนด์ ติดตั้งมาถึง 19 ตัวรอบห้องโดยสาร พร้อมซับวูฟเฟอร์
ด้านบนเป็นซันรูฟไฟฟ้า เพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น
รุ่นนี้มีรีโมตไว้แค่พกติดตัวเพราะสามารถเปิด-ปิดประตูได้จากปุ่มที่ประตูทั้ง 4 บาน เวลาปลดล็อกแค่เอื้อมมือไปที่มือจับล็อกก็จะคลายออก พร้อมกับกระจกข้างที่กางออกเช่นกัน
มีปุ่มบิดสตาร์ตที่คอนโซลเกียร์ หมุนเบาๆ เครื่องยนต์ก็ติดแล้ว แทบไม่รู้สึกถึงการทำงานเพราะช่วงแรกยังใช้กำลังจากไฟฟ้าอยู่ ต้องมองที่แผงหน้าปัดขึ้นตัวอักษร “Ready” สีเขียว ถึงรู้ว่าเครื่องยนต์ติดแล้ว
เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ออกแบบได้หรูหราตกแต่งคริสตัล หัวเกียร์ขนาดเล็กพร้อมมีปุ่มเกียร์ P แยกไว้ต่างหาก ใกล้ๆ กันเป็นเบรกมือไฟฟ้าและปุ่มปรับโหมดการขับขี่
ตลอดการขับขี่ผมจับอาการรอยต่อของเกียร์ไม่ได้เลย
เครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง เบนซิน เทอร์โบชาร์จ/ซูเปอร์ชาร์จ ความจุ 1,969 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 320 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตันเมตร
ใช้ 2 ระบบรวมกันให้กำลังแรงถึง 407 แรงม้า แรงบิด 640 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การใช้งานนี่ถือว่าแรงจัดจริงๆ เรียกว่าหลังติดเบาะได้เลย
อัตราเร่งต้น-กลาง-ปลาย ไร้ที่ติ เช่นเดียวกับช่วงล่างรับได้ทุกสถานการณ์
ความเร็วของรถยังโชว์ที่กระจกบังลมหน้าไว้ด้วย นอกจากนี้ มีเครื่องหมายจราจรต่างๆ โชว์ เช่น การจำกัดความเร็ว หรือเข้าไปในเขตชุมชน
จุดที่ต้องบอกเลยคือเทคโนโลยีครบครันจริงๆ อาทิ ระบบตรวจจับสัตว์ใหญ่, ระบบตรวจจับทำงานได้ในตอนกลางคืน, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติหลีกเลี่ยงการชนบริเวณทางแยก, ระบบรัดตรึงเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ (ก่อนรถตกถนน กระแทกชน พลิกคว่ำ)
รวมถึงระบบดึงพวงมาลัยกลับหากเบี่ยงเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว
กล้องมองภาพรอบคันจะโชว์เวลาเข้าเกียร์ถอย และเริ่มเดินหน้าใหม่ๆ หรือหากเข้าไปในที่แคบๆ สามารถกดดูจากหน้าจอตรงกลางได้
ระบบช่วยจอดอัตโนมัติทั้งแบบเข้าซองหรือขนานขอบทาง แต่ช่วงที่ลองใช้รู้สึกว่ารถถอยเร็วจนเกรงจะชนเลยทดลองเล่นแค่ทีเดียว
ส่วนระบบที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ “ไพล็อต แอสซิส” ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ กดปุ่มที่พวงมาลัยด้านซ้าย ตั้งระยะห่างจากรถคันหน้า รถจะกดคันเร่ง-เบรก อย่างเหมาะสมตามระยะห่างที่ตั้งไว้ สะดวกมากเวลาเข้าไปในถนนจราจรติดขัด เพียงแต่บางครั้งอาจต้องบังคับพวงมาลัยเองบ้าง ซึ่งระบบจะเตือนขึ้นที่แผงหน้าปัด
เอส90 มีที่ชาร์จสามารถใช้กับไฟบ้านได้โดยตรงถ้าเป็นบ้านทั่วๆ ไปประมาณ 15 แอมป์ สัก 3-4 ชั่วโมงก็เต็มแล้ว วิ่งได้ไกลสุด 50 กิโลเมตร จากนั้นตัดเข้าระบบน้ำมันพร้อมกับชาร์จไฟไปเก็บในแบตเตอรี่ ในช่วงการเบรกและการหมุนของล้อ
ไม่น่าแปลกใจที่รถรุ่นนี้มีอัตราประหยัดสูงถึง 55.5 กิโลเมตร/ลิตร
วอลโว่ เอส90 ปลั๊กอินไฮบริด มีให้เลือก 2 รุ่นย่อยคือT8 Twin Engine AWD (Plug-in hybrid) Momentum ราคา 3,390,000 บาท
และรุ่นที่ผมทดสอบคือ T8 Twin Engine AWD (Plug-in hybrid) – Inscription ราคา 3,790,000 บาท