NAD C 3050LE Special Edition Amp

NAD Electronics ฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ของการก่อตั้งบริษัทซึ่งมาถึงในปีนี้ ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์สุดพิเศษเป็นเครื่องเสียงประเภทที่สร้างชื่อให้กับค่ายมาอย่างโดดเด่น และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องยาวนานมาตราบปัจจุบัน ตั้งแต่ยุคสมัยอะนาล็อกจนมาถึงดิจิทัลในวันนี้

นั่นก็คืออินติเกรตเต็ด แอมปลิไฟเออร์ ซึ่งมีเอกลักษณ์ในการให้เสียงดนตรีแบบที่เรียกกันว่า Real Music อันน่าประทับใจยิ่ง

ทั้งยังได้รับการชื่นชมยกย่องว่าแอมป์ของค่ายนี้มีความคุ้มค่าในความหมายของ Value for Money ที่สูงกว่ามาตรฐานมาก

โดยเครื่องที่ออกมาในโอกาสพิเศษนี้ คือ NAD C 3050LE Stereophonic Amplifier ครับ

 

ย้อนกลับไปเมื่อแรกก่อตั้งบริษัทที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ.1972 โดย Dr. Martin L. Borish วิศวกรไฟฟ้าผู้พ่วงปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ด้วยนั้น แบรนด์ใช้เวลามาจนถึงช่วงปลายทศวรรษที่ 70s จึงประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อแอมป์รุ่น 3020 จากการออกแบบของ Mr. Bjorn Erik Edvardsen ออกสู่ตลาด แล้วได้รับคำวิพากษ์เชิงชื่นชมยกย่องอย่างแพร่หลายจากสื่อต่างๆ ทั่วโลก

จนถึงกับมีคำกล่าวขานว่าในยุคสมัยของมันนั้น ไม่มีสื่อเครื่องเสียงรายใดในโลกนี้ (ยุคที่มีแต่สื่อสิ่งตีพิมพ์จำพวกนิตยสารหัวต่างๆ) ไม่ได้พูดถึงมัน และนั่นนำมาซึ่งสถิติที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ ว่า NAD 3020 คือแอมป์ราคาประหยัดที่ขายดีที่สุดในโลก หรือคือ The World’s Best-Selling Budget Amp. นั่นเอง

จากแบรนด์สัญชาติอังกฤษ NAD ถูกซื้อกิจการไปโดยกลุ่ม AudioNord ของเดนมาร์กในปี ค.ศ.1991 ต่อมาในปี ค.ศ.1999 ก็ได้ถูกขายอีกครั้งให้กับเครือ Lenbrook Group ของแคนาดา

และอยู่กับเครือนี้มาจนทุกวันนี้

 

NAD C 3050LE มีโครงสร้างภาพลักษณ์แบบ Vintage Inspire ของแอมป์ NAD รุ่นคลาสสิคยุค 70s โดยมี Model 3030 เป็นต้นแบบ แผงหน้าปัดโลหะสีดำตอนล่างประกอบด้วยปุ่มกด 5 ชุด สำหรับเลือกแหล่งสัญญาณ และลูกบิดเลือกฟังก์ชั่นต่างๆ อีก 4 ชุด

สะดุดตาด้วยบานหน้าต่างสองช่องทางด้านซ้ายบน ส่องสว่างภายในที่มีเข็มวัดแบบกวาดไปมาซ้าย/ขวาด้วยไฟ LED บนพื้นหลังสีเหลืองอ่อน ซึ่งนั้นคือ VU Meter บอกความแรงสัญญาณของแชนเนลซ้าย/ขวาขณะที่ภาคขยายเสียงของเครื่องทำงาน ประกบผนังเครื่องด้านข้างและด้านบนด้วยแผ่นไม้วอลนัทเคลือบด้าน (Satin Walnut Veneer) โดยที่ฝาหลังเครื่องด้านบนมีแผ่นตะแกรงเซาะร่องสำหรับระบายความร้อน

ส่วนที่แผงหลังของเครื่องมี Analogue Input แบบ Line-Level ให้ 4 ชุด (รวม Phono Input) มี Digital Input ให้ทั้ง Coaxial และ Optical มาพร้อมพอร์ต HDMI แบบ eARC

นอกจากนี้ ยังมีช่อง Pre-Out ให้สำหรับภาคขยายเครื่องอื่น สายไฟ AC เป็นแบบมาตรฐาน IEC และมีขั้วต่อให้ใช้งานกับลำโพงได้สองคู่ ซึ่งจะเลือกเล่นทีละคู่ (แบบเลือกคู่ A หรือคู่ B ผ่านลูกบิดที่แผงหน้าปัด) หรือเล่นคราวเดียวพร้อมกันสองคู่ (เลือก A+B) ก็ได้

โดยภาคโฟนโนนั้นเป็นแบบ Ultra-Low-Noise พร้อมวงจร Infrasonic Filtering รองรับหัวเข็มเล่นแผ่นเสียงแบบ MM: Moving Magnet สำหรับการดูหนังหรือทีวีใช้เชื่อมต่อได้สะดวกกับสายเพียงเส้นเดียวผ่าน HDMI eARC รวมไปถึงให้ทำงานในระบบโฮม เธียเตอร์ 2.1 แชนเนลได้ มี Sub-Out ให้สำหรับสับ-วูฟเฟอร์

รวมทั้งมีภาคขยายเสียงสำหรับชุดหูฟังโดยเฉพาะ โดยมีช่องเสียบอินพุตสำหรับเฮดโฟนให้เชื่อมต่อกันได้สะดวกที่แผงหน้าปัดเครื่อง

แม้หน้าตาของเครื่องจะออกมาในแนวย้อนยุค แต่ภายในกลับผนวกและบรรจุเข้าไว้ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยของศตวรรษที่ 21 แบบอัดแน่น รวมทั้งรองรับการทำงานในระบบ Network Streaming ที่เอื้อความสะดวกและให้ความคล่องตัวในการใช้งาน ซึ่งสอดคล้องและลงตัวกับรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันเป็นอย่างดี

ใช้แพลตฟอร์ม BluOS กับระบบเครือข่ายและการสตรีม รองรับการทำงานกับ AirPlay 2, Spotify Connect และ Tidal Connect ผนวก Bluetooth aptX HD 5.0 แบบ 2 Way (คือทั้งรับและส่งข้อมูลสัญญาณ) เพื่อการสตรีมเพลงจากอุปกรณ์เล่นเพลงแบบพกพา หรือจากสมาร์ตโฟน ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และพร้อมรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูง/คุณภาพสูง อาทิ FLAC, MQA, WAV และ AIFF ทั้งยังมีระบบแก้ไขสภาพอะคูสติกห้อง Dirac Live ด้วย

ในส่วนของภาคแปลงสัญญาณ DAC : Digital-to-Analogue Converter ใช้ชิพประมวลผลของ Texas Instrument รหัส PCM5242 ซึ่งเป็นแบบ Hi-Res Differential DAC ที่รองรับการถอดรหัสสัญญาณเสียงความละเอียดสูงถึงระดับ 32-bit/384kHz และได้รับการยกย่องว่าให้การทำงานที่มีความเที่ยงตรงสูง

โดยเฉพาะในแง่ของ Clock Jitter ทั้งยังมีประสิทธิภาพในการให้ไดนามิกออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นชิพประมวลผลที่เปรียบได้กับหัวใจหลักของเครื่อง ในการทำซ้ำข้อมูลดิจิทัลด้วยการเข้าถึงในทุกรายละเอียดของข้อมูลสัญญาณ และสื่อออกมาให้สัมผัสได้ผ่านเสียงดนตรีอันน่าทึ่ง ด้วยความคมชัดที่กระจ่างใส รวมทั้งให้ตำแหน่งต่างๆ บนเวทีเสียงอย่างถูกต้อง เที่ยงตรง ชนิดที่สามารถระบุได้อย่างแม่นยำระดับ Pin-Point เลยทีเดียว

ภาคแอมปลิไฟเออร์ใช้เทคโนโลยี HybridDigital UcD ที่เป็นพัฒนาการล่าสุด ซึ่งสร้างชื่อให้กับแอมป์ NAD อย่างมาก ในแง่ที่สามารถรังสรรค์เสียงดนตรีออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงปราศจากการบิดเบือน

ทั้งยังปราศจากควาพร่าเพี้ยนและไร้การเติมแต่งสีสันลงในน้ำเสียงอย่างสิ้นเชิง

แม้จะใช้เครื่องมือวัดค่า Noise และ Distortion ในห้องทดสอบ ก็ไม่ปรากฏค่าตัวเลขที่เป็นนัยสำคัญแต่อย่างใด

น้ำเสียงที่ให้ออกมาจึงสัมผัสได้ถึงความเป็นกลาง มีความสมดุลเสียงเป็นเลิศ แม้จะเปิดที่ระดับความดังมากๆ ก็ยังสามารถนำเสนอน้ำเสียงที่เที่ยงตรงและเป็นธรรมชาตินั้นได้อย่างมั่นคง รวมทั้งยังสื่อรายละเอียดเสียงต่างๆ ที่บันทึกไว้ออกมาให้สัมผัสได้อย่างครบถ้วน และด้วยไดนามิกอันน่าตื่นเต้นมาก

ให้กำลังขับ 100Wrms (ตลอดย่านความถี่ออดิโอ 20Hz-20kHz, 8 Ohm ด้วยค่าความเพี้ยนฮาร์โมนิกรวมต่ำกว่า 0.005%) โดยวัด IHF Dynamic Power ได้สูงถึง 180W, 8 Ohm วัดค่าอัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน (S/N Ratio) ได้สูงกว่า 95dB

 

NAD C 3050LE นอกจากผลิตออกมาแบบจำกัดจำนวนเท่ากับปี ค.ศ.ที่ก่อตั้งแล้ว ยังกำหนดราคาเครื่องเท่ากับตัวเลขดังกล่าวด้วย คือ US$ 1,972 โดยมีกำหนดส่งมอบเครื่องพร้อมใบรับรองผลิตภัณฑ์ให้ผู้สั่งจองล่วงหน้าภายในดือนนี้

ขณะที่ผู้ผิดหวังจากการจองก็มีทางเลือกกับเครื่องรุ่นปกติ (C 3050) ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกับรุ่นพิเศษเล็กน้อย (ในส่วนของ BluOS กับ Dirac ซึ่งสามารถผนวกเข้าเครื่องได้ด้วยการเพิ่มโมดูล) โดยจะวางตลาดปีหน้าด้วยราคา US$ 1,299

แอมป์รุ่นพิเศษนี้เพิ่งเปิดตัวไปในงาน Toronto Audio Fest (21-23 ตุลาคม) และ Paris Audio-Video Show (4-6 พฤศจิกายน) ทั้งจะยังมีงานแนะนำพร้อมกิจกรรมต่างๆ อีก อาทิ การฉายภาพยนตร์สารคดีชุด NAD Electronics : 50 Years of Truth of Power การจัดงาน Unique Listening Events

ซึ่งจะเริ่มมีขึ้นตั้งแต่กลางเดือนนี้ไปจนถึงช่วงเดือนมีนาคม และในงาน Munich High End Show (เดือนพฤษภาคม)

ครับ, ก็เป็นอีกความเคลื่อนไหวในแวดวงเครื่องเสียงที่น่าติดตามชมกัน •

 

เครื่องเสียง | พิพัฒน์ คคะนาท

[email protected]