ฝรั่งติดถ้ำ (Lost In A Cave) | รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ | มงคล วัชรางค์กุล

 

ฝรั่งติดถ้ำ

(Lost In A Cave)

 

เมื่อเดือนที่แล้ว ได้ดูหนังเรื่อง Thirteen Lives บอกเล่าเรื่องการช่วยชีวิตทีมหมูป่า 13 คน ที่ติดถ้ำขุนน้ำนางนอน ทางตอนเหนือของประเทศไทย

หนังเรื่องนี้ไม่ได้เข้าโรงฉายในอเมริกา แต่ฉายผ่าน Amazon Prime Video ต้องเข้าไปลงทะเบียนแล้วจ่ายค่าดูให้ Amazon Prime

คราวนั้นจ่ายค่าดูไป 6 เหรียญ

รูปแบบการฉายหนังในอเมริกาพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว สร้างหนังมาไม่ต้องเข้าโรงฉาย ผู้เล่นด้านบันเทิงรายใหญ่มาตัดหนังไปเลย แล้วขายให้ดูออนไลน์อย่างเดียว

ปีนี้ Amazon Prime ตัดหนังดังเข้ามาอยู่ในเครือหลายเรื่อง

ขณะเดียวกัน ผมไปอ่านเจอเรื่องฝรั่งติดถ้ำ (Lost In A Cave) เขียนโดย John Pfeiffer บนหน้า 1 ของหนังสือชื่อ The Fish wrapper เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นหนังสือแจกฟรีในรัฐเพนซิลเวเนีย คนเขียนบอกเล่าการติดถ้ำได้น่าสนใจ

ความว่า

เรื่องมันเกิดขึ้นตอนบ่ายวันอาทิตย์ที่ร้อนอบอ้าว พวกเรามีด้วยกัน 4 คน คือตัวคนเขียน, ลูกชายอายุ 11 ปีชื่อโทนี่, เพื่อนร่วมชั้นเรียนชื่อ Norman Ganter และ Chris Ingham

เราขับรถขึ้นมายังยอดเขา Raubsville รัฐเพนซิลเวเนีย แล้วจอดรถที่ลานจอดบนยอดเขา มีรถจอดอยู่ก่อน 2-3 คัน

ห่างออกไปไม่ไกล มีรูบนพื้นดินกลมๆ ขนาดตัวคนรอดลงไปได้ นั่นคือช่องทางเข้าสู่ถ้ำ

เขามองนาฬิกาบอกเวลาบ่าย 2 โมงครึ่ง

“พร้อมแล้วนะ” เขาพูด “ไปกันได้แล้ว เราจะต้องกลับมาตอน 5 โมงครึ่ง”

บ้านเราอยู่ที่ New Hope อยู่ห่างไป 30 ไมล์

เราไต่ลงไปทางบันไดไม้ นำไปสู่ใจกลางโลก อุปกรณ์ที่มีคือ a floodlight, ไฟฉาย 3 ดวง (flashlights) แบตเตอรี่ใหม่ 2 อัน, a bettered candle และไม้ขีดไฟหลายอัน พร้อมด้วยขนมลูกอม

ที่ปลายขั้นกระได เราพบตัวเองอยู่ในลานกว้าง ตรงนั้นมีอุโมงค์นำลงไปสู่เชิงเขา เวลาเดินต้องระวังแง่หินด้านบน แล้วต่อไปต้องคลานไป

“อุโมงค์นี้เป็นทางเดินแคบๆ แล้วเป็นคอขวด เหมือนกับรูหนู” Tony พึมพำ

เส้นทางรูหนูสิ้นสุดลงที่ปลายทาง 4-5 ฟุต ที่ลุกยืนขึ้นมาได้ แสงไฟสะท้อนเงาวับวิบสีขาวประกายเก็จเพชรของ limestone อยู่เบื้องบน แผ่ปกคลุมคล้ายผ้าม่าน มีหินงอกหินย้อยห้อยลงมาจากเพดาน

สิ่งที่สร้างความหวาดกลัวคือ รอยแยกที่กว้างพอจะหล่นลงไป และความมืดที่เห็นนำไปสู่ก้นหลุมลึกล้ำสุดพรรณนา ที่จริงเขาควรจะเชื่อลางสังหรณ์อันน่ากลัว

แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็นำพาเรามาสู่เหตุการณ์

 

เราเริ่มทำการสำรวจ ไต่ไปตามขอบผนังด้านข้าง เราเดินเข้าไปยังจุดทางตัน (dead ends) หลายแห่ง

ผมบอกทีมว่า เราต้องหาเส้นทางไปสู่ทางออกให้ได้

ผมเอากุญแจรถมาทำเครื่องหมายบนกำแพง ตอนที่เราเดินลึกเข้าไปยังจุดที่เรียกว่า Lemon Squeeze เป็นจุดที่มีถ้ำลอด (grotto) สวยงามและมีม่านผนังโดยรอบ ทำสัญลักษณ์ทางเดินไว้ 4-5 แห่ง

หลังจากเวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เราตัดสินใจว่าถึงเวลาต้องเดินทางกลับแล้ว

เราเดินผ่านถ้ำลอดและบริเวณ the Lemon Squeeze แล้วปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น

เราถูกหมอกหนาที่พัดเข้ามาเอาแสงจากใบหน้าเราไปหมด เรามองไม่เห็นอะไร มองไม่เห็นร่องน้ำและทางเดินรูหนู

“Hey, นี่คือหนึ่งในเครื่องหมายที่เราทำไว้” Chris บอก เรารุมเข้าไปตรงที่เขายืนอยู่ เครื่องหมายที่ทำไว้อยู่บนผนังเห็นชัดเจนบนขี้โคลนที่ปูดออกมาจากผนัง

นั่นเป็นสัญลักษณ์อันแรกที่ผมทำไว้บนผนัง เราอยู่ใกล้กับทางออกแล้ว แล้ว Norman เจอเครื่องหมายอีกอันที่ผนัง เขาบอกว่า อันนี้ใช่เลย

ไม่กี่นาทีต่อมา เราพากันหยุดแล้วมองไปข้างหน้า ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผนังนำไปสู่เส้นทางแคบกว้างแค่ 1-2 นิ้ว นั่นคือทางตัน

ตอนนี้ 5 โมงครึ่งแล้ว เราควรจะเจอทางออกที่ถ้ำลอดใกล้กับเครื่องหมายอันแรก แต่สิ่งที่เหมือนกันในใต้ดินคือทางเดินเป็นเขาวงกต

“เราหลงทางแล้ว แต่ไม่ต้องมีกังวล จะต้องมีคนมาตามหาเราในเร็วๆ นี้ อย่าลืมว่าตอนขึ้นมาที่ยอดเขา เราได้ลงทะเบียนกับ Mrs.Hart เจ้าของสถานที่แล้ว ตอนมื้ออาหารเย็น เธอควรจะสงสัยว่าทำไมเราจึงยังไม่เช็กเอาต์ และเห็นรถเราจอดอยู่ใกล้ทางเข้าถ้ำ”

“สิ่งที่เราจะทำได้คือ ต้องรวมกัน อยู่ร่วมกัน และประหยัดแสงไฟเอาไว้”

“หวังว่าเธอจะรีบมาโดยทันที” Chris เสริม “ในนี้อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ”

 

พวกเราใส่เสื้อผ้าชุดเอี๊ยมทำงานและเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ซึ่งตอนแรกไม่ถึงกับแย่เท่าไรนัก

ผมพยายามจะพูดคุยกับเด็กๆ เพื่อจะดึงจิตใจเขาออกจากเหตุการณ์ที่ย่ำแย่

ตลอดเวลาเหล่านั้น มีแต่ความมืดที่แผ่กว้าง ช่วงที่รอคอย มีแต่ความมืดที่แผ่เข้ามา มันมืดมากขึ้น หนักขึ้น กดดันเราเข้ามาทุกทาง ทำให้เรารู้สึกย่ำแย่

ในช่วงนั้น พวกเราบางคนเรียกหาแสงไฟ และแสงไฟก็สะท้อนไปที่ถ้ำลอดเหมือนแปรงที่ไปปัดอากาศสดชื่นให้เข้ามา

แล้วแสงไฟก็ดับลง

สิ่งที่เขากลัวคือถ้าจะต้องอยู่ข้างในอีกนาน จะอยู่อย่างไร จะต้องมีช่วงที่นอนหลับ ถ้ำลอดเป็นตะบุ่มตะบ่ำ ไม่สามารถโรยตัวลงนอนได้ และพื้นผิวก็เปียกแฉะด้วยน้ำจากน้ำแข็งใต้ดิน

และถ้าไม่ได้หลับนอนเลย จะทำให้อ่อนแอ หนาวเหน็บและเกิดความกลัวจับใจ

เด็กๆ มีความแตกต่างกัน Chris และ Tony มีความเครียดสูง แต่แสดงออกแตกต่างกัน Chris จะพูดออกมา แสดงความรู้สึกทั้งหมด แต่ Tony จะเก็บไว้ข้างในภายใต้ความกดดัน

ส่วน Norman เด็กหนุ่มนักทำฟาร์ม จะดูสงบและไม่พูดมากนัก

“ทำไม Mrs.Hart ถึงยังไม่มาช่วย เธอน่าจะกินข้าวเสร็จและเตรียมตัวเข้านอนแล้ว” (ความจริงคือ เธออาจจะไม่รู้ว่า เราออกจากถ้ำหรือยัง ซึ่งเธอจะบอกตำรวจอย่างนี้ ตอนที่เขาโทร.มากลางดึก)

“เอาล่ะ” ผมบอก “นี่คือจุดที่ต้องยอมรับ ฉันภูมิใจในพวกเธอทุกคน และดีใจที่ได้อยู่ร่วมกับเธอ พวกเขาอาจจะยังหาเราไม่เจอคืนนี้ แต่พรุ่งนี้เช้าจะต้องเตรียมค้นหาครั้งใหญ่ ครอบครัวของเราคงแจ้งข่าวกับตำรวจของรัฐ ถ้ำนี้จะเป็นจุดค้นหา จะมีข่าวบนวิทยุ เราไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว”

“ตอนนี้คือเวลาที่จะต้องสงบลงและพักผ่อน”

 

แต่ผมก็พักผ่อนไม่ได้ ร่างกายสั่นไปหมด ทั้งขา หัวเข่าและแขน สั่นอย่างน่ากลัว ผมพยายามระงับความรู้สึกนี้

แล้วเสียง Chris ก็แผดขึ้นมา “เราเข้ามาในนี้ทำไม เราจะไม่ได้กลับออกไปอีก ฉันรู้ดี”

ผมต้องเข้าไปปลอบ จน Chis สงบลง

แล้วก็เป็น Tony ที่เรียกผม ผมต้องเข้าไปปลอบ เอาแขนโอบกอด ขณะที่เขาคร่ำครวญว่า “ผมเกลียดที่นี่ มันหนาวเหลือเกิน”

Norman ร้องไห้เป็นคนสุดท้าย เขาเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด กระนั้นก็คร่ำครวญว่า “พ่อแม่ที่น่าสงสาร”

มีการร้องไห้จากเด็กๆ เป็นระยะ แต่มีข้อดีคือ ไม่มีเด็กสองคนร้องไห้พร้อมกัน

ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้น ความหนาวเย็นที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกฝันไปยามตื่น เราสูญเสียความรู้สึกของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

Chris พร่ำว่า ได้ยินบางสิ่งบางอย่าง เป็นเสียงคนแน่ๆ

เราตั้งใจรับฟัง แต่สิ่งที่ได้ยินคือเสียงลมหายใจของตัวเองและเสียงน้ำหยดในซอกหิน หลายครั้งได้ยินเสียงดังคล้ายเสียงรถกำลังมาที่ปากทางเข้าถ้ำ (เป็นเสียงที่เกิดจากพายุฝนที่ปากถ้ำ)

 

ตอนตีสี่ ผมเริ่มสำรวจเส้นทาง Chris อาสาสมัครร่วมทาง ผมพยายามหาลู่ทางขึ้นไปยังรูและแนวกำแพงที่ไต่ขึ้นเนิน แต่ไม่สำเร็จ

ตอนเช้าแปดโมงครึ่ง ไฟส่องสว่าง 2 ดวงดับสนิท และไฟดวงที่สามก็อ่อนแรง the floodlight ก็เริ่มหรี่แสงลง

ตอนเก้าโมงครึ่ง สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดก็เกิดขึ้น มีเสียงกู่ร้องเข้ามา บอกไม่ได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่แน่ๆ เป็นเสียงมนุษย์

เรากู่ร้องตอบโต้กลับ

เสียงกู่ร้องครั้งต่อมาดังขึ้นอีกครึ่งชั่วโมงถัดไป

ทีมช่วยเหลือต้องค้นหา 4 เส้นทาง กว่าจะเจอรูทางเข้ามาช่วย เขาเข้ามาพร้อมประโยค “นี่คือตำรวจของรัฐ มีใครได้รับบาดเจ็บบ้าง”

เราสูญหายไปจากปากทางเข้า 150 ฟุต

 

การกู้ภัยคราวนี้เริ่มจากเมียผมโทร.หาตำรวจของรัฐ การค้นหาทำกันตลอดคืน

ตอนเก้าโมงเช้าผู้หญิงที่ทำปั๊มน้ำมันและร้านค้าห่างจากปากถ้ำหนึ่งไมล์ ฟังข่าวจากวิทยุได้ข่าวว่าเราหายไป และรู้ว่าเราหายไปตรงจุดไหน เธอโทร.ไปหา Mrs.Hart ที่เดินขึ้นมาบนปากถ้ำ แล้วส่งเสียงตะโกนกู่ร้องครั้งแรก

วันอังคารเด็กๆ ไปโรงเรียน มีเรื่องการติดถ้ำไปเล่าให้เพื่อนและครูฟัง

ผมอาจจะไปสำรวจถ้ำอีก แต่ไม่ไปโดยไม่บอกเล่าตำแหน่งที่อยู่ของเราที่แน่นอน