เหมา : จีนลุกขึ้น เติ้ง : จีนรวยขึ้น สี จิ้นผิง : จีนแข็งแกร่งขึ้น | สุทธิชัย หยุ่น

สุทธิชัย หยุ่น

พอสี จิ้นผิง ได้ปกครองประเทศจีนอีกหนึ่งสมัย…เป็นสมัยที่สาม…ก็มีคนมองไปทั้งอดีตและอนาคตว่าบทบาทของ “ผู้ยิ่งใหญ่” ท่านนี้จะมีหน้าตาและเนื้อหาอย่างไร

คนจีนหลายวงการมักจะพูดเปรียบเปรยให้เห็นจุดเน้นของเหมา เจ๋อตุง, เติ้ง เสี่ยวผิง, และสี จิ้นผิง ที่สร้างจุดเด่นของตัวเองที่แตกต่างกันว่า

เหมาทำให้ประเทศจีน “ลุกขึ้น” (จ้านฉี่หลาย)

เติ้งทำให้ประเทศจีน “รวยขึ้น” (ฟู่ฉี่หลาย)

สีทำให้จีน “แข็งแกร่งขึ้น” (เฉียงฉี่หลาย)

ตอกย้ำว่าคนจีนเห็นผลงานของสี จิ้นผิง เป็นการต่อยอดจากเหมาและเติ้ง เหมือนจะมองข้ามบทบาทของผู้นำอีกสองคนคือ เจียง เจ๋อหมิน และหู จิ่นเทา เลยทีเดียว

ตอนที่สี จิ้นผิง ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งแรกในปี 2012, นักวิเคราะห์จากข้างนอกตั้งคำถามสำคัญว่าเขาจะเป็นผู้นำจีนแบบไหน

และจะนำพาประเทศจีนไปในทิศทางใด

ผมได้ยินนักวิชาการตะวันตกคนหนึ่งถามว่าสีจะเป็น “กอร์บาชอฟของจีน” หรือเปล่า

นั่นคือความคาดหวังว่าสีจะเปิดกว้างประเทศจีนทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองเหมือนอดีตผู้นำสหภาพโซเวียต

นักวิชาการคนนั้นคิดผิดถนัด เพราะบทเรียนสำคัญสำหรับจีนก็คือการที่จะต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางของกอร์บาชอฟทุกวิถีทาง

คนจีนจำนวนไม่น้อยดูถูกเหยียดหยามมิคาอิล กอร์บาชอฟ อย่างยิ่ง

เพราะเขาคือสัญลักษณ์ของผู้ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991

ถ้อยแถลงของสีวันที่เขารับตำแหน่งสูงสุดของประเทศเมื่อ 10 ปีก่อนคือ

“ความรับผิดชอบของเราคือการทำให้ประชาชนคนจีนสามัคคีเป็นหนึ่ง และนำพรรค (คอมมิวนิสต์จีน) และกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดทั่วประเทศรับช่วงประวัติศาสตร์…อีกทั้งยังมุ่งมั่นทำงานเพื่อฟื้นฟูประเทศจีนอันยิ่งใหญ่ของเราเพื่อให้ประเทศจีนยืนตระหง่านและทรงพลังในมวลหมู่ประชาคมโลกและมีส่วนในการเสริมสร้างมนุษยชาติ…”

แม้ฟังดูเป็นเนื้อหาที่กว้างและทั่วไป แต่หากอ่านระหว่างบรรทัดจะได้รับรู้ว่าเป้าหมายของสี จิ้นผิง นั้นให้ความสำคัญทั้งสองเสาหลักคือ ภารกิจทางประวัติศาสตร์ และบทบาทของจีนในเวทีระหว่างประเทศ

สำหรับสีแล้ว, จีนไม่ใช่เพียงแค่การเดินหน้า “ปฏิรูปและเปิดประเทศ” ตามแนวทางของเติ้ง เสี่ยวผิง เท่านั้น

หากแต่ยังจะต้องก้าวย่างไปข้างหน้าตามทิศทางการพัฒนาประเทศ

เป็นที่ชัดเจนว่าเขาต้องการให้จีนมีฐานะเป็น “ประเทศทรงอำนาจในโลก”

เขาอาจจะไม่ได้ใช้คำว่า “มหาอำนาจ” แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าความหมายที่แท้จริงแล้วคือเป้าหมายแห่งการเป็น “มหาอำนาจ” ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหรัฐอเมริกา

Photo by Noel Celis / AFP

ที่ชัดเจนในถ้อยแถลงต่อมาก็คือนโยบายที่จะปราบปรามคอร์รัปชั่นในประเทศอย่างเข้มข้น

หนึ่งในถ้อยแถลงวันนั้นระบุเรื่องการปราบพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ

“ในสถานการณ์ใหม่นี้ พรรคของเรากำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน…และมีปัญหาที่เร่งด่วนหลายประการภายในพรรคเองที่จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข…โดยเฉพาะปัญหาคอร์รัปชั่นและการรับสินบนโดยสมาชิกและเจ้าหน้าที่พรรค…”

เท่านั้นไม่พอ สี จิ้นผิง เน้นถึงความสำคัญของการปรับปรุงการทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างจริงจัง

เขาย้ำว่าหากพรรคล่มสลาย, จีนก็ย่อมจะพังพินาศเช่นกัน

“สมาชิกและเจ้าหน้าที่พรรคของเราบางคนห่างเหินจากประชาชน และให้ความสำคัญเกินเหตุต่อพิธีกรรมและระบบราชการ…”

เขาเน้นความสำคัญของการที่พรรคต้องตื่นตัวอย่างเต็มที่

“โลหะที่จะแปลงเป็นเหล็กได้นั้นเนื้อในตนจะต้องแข็งจริง ความรับผิดชอบของเราคือการทำงานกับสหายในพรรคของเราเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะกำกับดูแลพฤติกรรมของเรา…บังคับใช้วินัยอย่างเคร่งครัด…และอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน…”

จากนั้นไม่นานสีก็ทำเรื่องปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังถึงแก่น

ถือได้ว่าเป็นการชะล้างความโสโครกภายในพรรคที่เข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้งพรรคเลยทีเดียว

ถึงปี 2018 เจ้าหน้าที่รัฐกว่า 2.7 ล้านคน ถูกสอบสวนในข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวง

และในจำนวนนี้ไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านคน ถูกลงโทษฐานโกงกินและรับสินบน

แม้ในระดับสูงของพรรคก็ไม่ละเว้น

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคที่ถูกสอบสวนและลงโทษนั้นรวมถึงอดีตสมาชิกถาวรของกรมการเมือง

สมาชิกปัจจุบันของกรมการเมือง 2 คน

สมาชิกกรรมการกลางของพรรค 42 คน

นายพลกองทัพ 71 คน (รวมสมาชิกกรรมการทหาร 2 คน) และนายทหารกว่า 4,000 คน

หนีไม่พ้นว่าการสั่งปราบปรามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคและรัฐบาลจีนนั้นทำให้สีถูกมองว่าเป็นการใช้นโยบายนี้กำจัดเสี้ยนหนามที่เป็นศัตรูทางการเมืองของตนด้วยหรือไม่

ป๋อ ซีไหล (Photo by CCTV / CCTV / AFP)

หนึ่งในบุคคลระดับสูงที่เคยเป็นคู่แข่งทางการเมืองของสีที่ถูก “กำจัด” ออกไปคือ “ป๋อ ซีไหล” (Bo Xilai) ที่ถูกปลดจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคมหานครฉงชิ่ง

อีกทั้งยังถูกเขี่ยออกจากคณะกรมการเมืองอีกด้วย

ข่าวการปลดป๋อ ซีไหล ออกจากตำแหน่งสำคัญระดับสูงสุด (อยู่ในฐานะชิงตำแหน่งสูงสุดกับสี จิ้นผิง เลยทีเดียว) นั้นช็อกคนจีนทั่วประเทศในขณะนั้น

เพราะข่าวการปลดเขาออกจากตำแหน่งสูงในพรรคนั้นเกิดขึ้นหลังการประชุมสภาประชาชนชุดที่ 10 สมัยสุดท้ายในเดือนมีนาคม ค.ศ.2012

คำสั่งฟ้าผ่านั้นออกวันที่ 15 มีนาคม 2012

บารมีและอำนาจของเขาอยู่ในระดับที่คนจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าไม่มีใครกล้าโค่นเขาได้

แต่สี จิ้นผิง สร้างความประหลาดใจด้วยการตัดสินใจ “สอย” ป๋อลงจากตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งหมด

เช่น หลุดจาก 1 ใน 25 คนของกรมการเมือง

ทำให้ไม่สามารถขึ้นมาเป็น 1 ใน 9 ของคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางการนำของพรรคซึ่งมีกำหนดจะประกาศแต่งตั้งเดือนพฤศจิกายน 2012

ป๋อโดนข้อหาติดสินบนและยักยอกทรัพย์เสียก่อนที่จะได้เข้าสู่ตำแหน่งอำนาจสูงสุดตำแหน่งหนึ่งในพรรค

ความจริงป๋อได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้ลงสมัครรับตำแหน่งคณะกรรมการประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 ในปี 2012

แต่อนาคตทางการเมืองของเขาต้องดับวูบลงอย่างกะทันหัน หลังจากเหตุการณ์ของหวัง ลี่จุน ซึ่งเป็นหัวหน้าตำรวจของเขาขอลี้ภัยที่สถานกงสุลอเมริกันในเฉิงตู

หวัง อ้างว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของป๋อและกู่ ไขไหล ภรรยาของเขาในคดีฆาตกรรมนักธุรกิจอังกฤษชื่อ Neil Heywood

ข้อหาต่อมาบอกว่านักธุรกิจฝรั่งคนนี้มีความสัมพันธ์ทางการเงินอย่างใกล้ชิดกับทั้งสอง

ทันทีทันใดนั้น ป๋อถูกถอดออกจากตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนของฉงชิ่ง ตามมาด้วยการเสียที่นั่งในกรมการเมือง และไม่ช้าไม่นานหลังจากนั้น เขาถูกปลดจากตำแหน่งทั้งหมดและรวมถึงที่นั่งในสภาประชาชนแห่งชาติ ในที่สุดก็ถูกไล่ออกจากพรรคในปี 2013

ป๋อถูกตัดสินมีความผิดฐานทุจริต ถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด และถูกศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต ปิดฉากการเมืองของนักการเมืองจีนที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่ง

เปิดทางให้สี จิ้นผิง ปกครองประเทศจีนอย่างปราศจากการท้าทายใดๆ จนถึงวันนี้