ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 พฤศจิกายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
พอสี จิ้นผิง ได้ปกครองประเทศจีนอีกหนึ่งสมัย…เป็นสมัยที่สาม…ก็มีคนมองไปทั้งอดีตและอนาคตว่าบทบาทของ “ผู้ยิ่งใหญ่” ท่านนี้จะมีหน้าตาและเนื้อหาอย่างไร
คนจีนหลายวงการมักจะพูดเปรียบเปรยให้เห็นจุดเน้นของเหมา เจ๋อตุง, เติ้ง เสี่ยวผิง, และสี จิ้นผิง ที่สร้างจุดเด่นของตัวเองที่แตกต่างกันว่า
เหมาทำให้ประเทศจีน “ลุกขึ้น” (จ้านฉี่หลาย)
เติ้งทำให้ประเทศจีน “รวยขึ้น” (ฟู่ฉี่หลาย)
สีทำให้จีน “แข็งแกร่งขึ้น” (เฉียงฉี่หลาย)
ตอกย้ำว่าคนจีนเห็นผลงานของสี จิ้นผิง เป็นการต่อยอดจากเหมาและเติ้ง เหมือนจะมองข้ามบทบาทของผู้นำอีกสองคนคือ เจียง เจ๋อหมิน และหู จิ่นเทา เลยทีเดียว
ตอนที่สี จิ้นผิง ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งแรกในปี 2012, นักวิเคราะห์จากข้างนอกตั้งคำถามสำคัญว่าเขาจะเป็นผู้นำจีนแบบไหน
และจะนำพาประเทศจีนไปในทิศทางใด
ผมได้ยินนักวิชาการตะวันตกคนหนึ่งถามว่าสีจะเป็น “กอร์บาชอฟของจีน” หรือเปล่า
นั่นคือความคาดหวังว่าสีจะเปิดกว้างประเทศจีนทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองเหมือนอดีตผู้นำสหภาพโซเวียต
นักวิชาการคนนั้นคิดผิดถนัด เพราะบทเรียนสำคัญสำหรับจีนก็คือการที่จะต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางของกอร์บาชอฟทุกวิถีทาง
คนจีนจำนวนไม่น้อยดูถูกเหยียดหยามมิคาอิล กอร์บาชอฟ อย่างยิ่ง
เพราะเขาคือสัญลักษณ์ของผู้ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991
ถ้อยแถลงของสีวันที่เขารับตำแหน่งสูงสุดของประเทศเมื่อ 10 ปีก่อนคือ
“ความรับผิดชอบของเราคือการทำให้ประชาชนคนจีนสามัคคีเป็นหนึ่ง และนำพรรค (คอมมิวนิสต์จีน) และกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดทั่วประเทศรับช่วงประวัติศาสตร์…อีกทั้งยังมุ่งมั่นทำงานเพื่อฟื้นฟูประเทศจีนอันยิ่งใหญ่ของเราเพื่อให้ประเทศจีนยืนตระหง่านและทรงพลังในมวลหมู่ประชาคมโลกและมีส่วนในการเสริมสร้างมนุษยชาติ…”
แม้ฟังดูเป็นเนื้อหาที่กว้างและทั่วไป แต่หากอ่านระหว่างบรรทัดจะได้รับรู้ว่าเป้าหมายของสี จิ้นผิง นั้นให้ความสำคัญทั้งสองเสาหลักคือ ภารกิจทางประวัติศาสตร์ และบทบาทของจีนในเวทีระหว่างประเทศ
สำหรับสีแล้ว, จีนไม่ใช่เพียงแค่การเดินหน้า “ปฏิรูปและเปิดประเทศ” ตามแนวทางของเติ้ง เสี่ยวผิง เท่านั้น
หากแต่ยังจะต้องก้าวย่างไปข้างหน้าตามทิศทางการพัฒนาประเทศ
เป็นที่ชัดเจนว่าเขาต้องการให้จีนมีฐานะเป็น “ประเทศทรงอำนาจในโลก”
เขาอาจจะไม่ได้ใช้คำว่า “มหาอำนาจ” แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าความหมายที่แท้จริงแล้วคือเป้าหมายแห่งการเป็น “มหาอำนาจ” ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหรัฐอเมริกา
ที่ชัดเจนในถ้อยแถลงต่อมาก็คือนโยบายที่จะปราบปรามคอร์รัปชั่นในประเทศอย่างเข้มข้น
หนึ่งในถ้อยแถลงวันนั้นระบุเรื่องการปราบพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ
“ในสถานการณ์ใหม่นี้ พรรคของเรากำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน…และมีปัญหาที่เร่งด่วนหลายประการภายในพรรคเองที่จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข…โดยเฉพาะปัญหาคอร์รัปชั่นและการรับสินบนโดยสมาชิกและเจ้าหน้าที่พรรค…”
เท่านั้นไม่พอ สี จิ้นผิง เน้นถึงความสำคัญของการปรับปรุงการทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างจริงจัง
เขาย้ำว่าหากพรรคล่มสลาย, จีนก็ย่อมจะพังพินาศเช่นกัน
“สมาชิกและเจ้าหน้าที่พรรคของเราบางคนห่างเหินจากประชาชน และให้ความสำคัญเกินเหตุต่อพิธีกรรมและระบบราชการ…”
เขาเน้นความสำคัญของการที่พรรคต้องตื่นตัวอย่างเต็มที่
“โลหะที่จะแปลงเป็นเหล็กได้นั้นเนื้อในตนจะต้องแข็งจริง ความรับผิดชอบของเราคือการทำงานกับสหายในพรรคของเราเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะกำกับดูแลพฤติกรรมของเรา…บังคับใช้วินัยอย่างเคร่งครัด…และอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน…”
จากนั้นไม่นานสีก็ทำเรื่องปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังถึงแก่น
ถือได้ว่าเป็นการชะล้างความโสโครกภายในพรรคที่เข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้งพรรคเลยทีเดียว
ถึงปี 2018 เจ้าหน้าที่รัฐกว่า 2.7 ล้านคน ถูกสอบสวนในข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวง
และในจำนวนนี้ไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านคน ถูกลงโทษฐานโกงกินและรับสินบน
แม้ในระดับสูงของพรรคก็ไม่ละเว้น
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคที่ถูกสอบสวนและลงโทษนั้นรวมถึงอดีตสมาชิกถาวรของกรมการเมือง
สมาชิกปัจจุบันของกรมการเมือง 2 คน
สมาชิกกรรมการกลางของพรรค 42 คน
นายพลกองทัพ 71 คน (รวมสมาชิกกรรมการทหาร 2 คน) และนายทหารกว่า 4,000 คน
หนีไม่พ้นว่าการสั่งปราบปรามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคและรัฐบาลจีนนั้นทำให้สีถูกมองว่าเป็นการใช้นโยบายนี้กำจัดเสี้ยนหนามที่เป็นศัตรูทางการเมืองของตนด้วยหรือไม่
หนึ่งในบุคคลระดับสูงที่เคยเป็นคู่แข่งทางการเมืองของสีที่ถูก “กำจัด” ออกไปคือ “ป๋อ ซีไหล” (Bo Xilai) ที่ถูกปลดจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคมหานครฉงชิ่ง
อีกทั้งยังถูกเขี่ยออกจากคณะกรมการเมืองอีกด้วย
ข่าวการปลดป๋อ ซีไหล ออกจากตำแหน่งสำคัญระดับสูงสุด (อยู่ในฐานะชิงตำแหน่งสูงสุดกับสี จิ้นผิง เลยทีเดียว) นั้นช็อกคนจีนทั่วประเทศในขณะนั้น
เพราะข่าวการปลดเขาออกจากตำแหน่งสูงในพรรคนั้นเกิดขึ้นหลังการประชุมสภาประชาชนชุดที่ 10 สมัยสุดท้ายในเดือนมีนาคม ค.ศ.2012
คำสั่งฟ้าผ่านั้นออกวันที่ 15 มีนาคม 2012
บารมีและอำนาจของเขาอยู่ในระดับที่คนจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าไม่มีใครกล้าโค่นเขาได้
แต่สี จิ้นผิง สร้างความประหลาดใจด้วยการตัดสินใจ “สอย” ป๋อลงจากตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งหมด
เช่น หลุดจาก 1 ใน 25 คนของกรมการเมือง
ทำให้ไม่สามารถขึ้นมาเป็น 1 ใน 9 ของคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางการนำของพรรคซึ่งมีกำหนดจะประกาศแต่งตั้งเดือนพฤศจิกายน 2012
ป๋อโดนข้อหาติดสินบนและยักยอกทรัพย์เสียก่อนที่จะได้เข้าสู่ตำแหน่งอำนาจสูงสุดตำแหน่งหนึ่งในพรรค
ความจริงป๋อได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้ลงสมัครรับตำแหน่งคณะกรรมการประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 ในปี 2012
แต่อนาคตทางการเมืองของเขาต้องดับวูบลงอย่างกะทันหัน หลังจากเหตุการณ์ของหวัง ลี่จุน ซึ่งเป็นหัวหน้าตำรวจของเขาขอลี้ภัยที่สถานกงสุลอเมริกันในเฉิงตู
หวัง อ้างว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของป๋อและกู่ ไขไหล ภรรยาของเขาในคดีฆาตกรรมนักธุรกิจอังกฤษชื่อ Neil Heywood
ข้อหาต่อมาบอกว่านักธุรกิจฝรั่งคนนี้มีความสัมพันธ์ทางการเงินอย่างใกล้ชิดกับทั้งสอง
ทันทีทันใดนั้น ป๋อถูกถอดออกจากตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนของฉงชิ่ง ตามมาด้วยการเสียที่นั่งในกรมการเมือง และไม่ช้าไม่นานหลังจากนั้น เขาถูกปลดจากตำแหน่งทั้งหมดและรวมถึงที่นั่งในสภาประชาชนแห่งชาติ ในที่สุดก็ถูกไล่ออกจากพรรคในปี 2013
ป๋อถูกตัดสินมีความผิดฐานทุจริต ถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด และถูกศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต ปิดฉากการเมืองของนักการเมืองจีนที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่ง
เปิดทางให้สี จิ้นผิง ปกครองประเทศจีนอย่างปราศจากการท้าทายใดๆ จนถึงวันนี้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022