บางอย่างในความรักของเรา (32) | ท่าอากาศยานต่างความคิด

บางอย่างในความรักของเรา (32)

 

การแนะนำตัวของหญิงสาวผู้นั้นทำให้ผมฉงนใจ ผมไม่คาดคิดว่าจะเจอหญิงสาวชาติเดียวกันที่นี่ แน่นอนพวกเราในฐานะแรงงานผิดกฎหมายรู้ดีว่ามีเพื่อนร่วมประเทศของเราลักลอบทำงานกันในแทบทุกรูปแบบ บางคนทำงานในเรือ บางคนทำงานในร้านอาหาร และเรารู้ว่ามีบางคนทำงานด้านบริการ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเธอหรือพวกเขาเหล่านั้นจะเผยตัว การทำงานภายใต้การไม่ประกาศตนเองนั้นมาพร้อมกับความปลอดภัยในชีวิตและการดำรงตนอยู่ที่นี่

“สวัสดีครับ” ผมบอกชื่อของผมและชื่อของเคน และแนะนำตนเองว่าเราทั้งคู่ทำอะไรอยู่ที่นี่ ผมควรตอบแทนความไว้วางใจของเธอด้วยการเปิดเผยเรื่องของตนเองบ้าง ผมคิดเช่นนั้น

“คุณทำงานสร้างเมืองให้คนสิงคโปร์” มะลิพูด “ส่วนฉันทำงานสร้างฝันให้คนที่ทำงานอีกที”

“สร้างฝัน?”

“ใช่ สร้างฝัน เรื่องเพศมันไม่ใช่เรื่องการเติมเต็มความฝันให้ใครบางคนดอกหรือ ฉันคิดว่าใช่นะ”

หลังคำตอบนั้นของมะลิ ผมนึกถึงคืนที่ผมมีเพศสัมพันธ์กับโจดี้ ในห้วงเวลานั้นผมนึกถึงปิ่น เป็นห้วงเวลาที่ไม่ควรนึกถึงเธออย่างยิ่ง แต่แล้วผมกลับไม่อาจหักห้ามตนเองได้

ความรู้สึกที่โหยหาและอยากสัมผัสร่างกายของปิ่นอาจฝังลึกอยู่ในตัวผม นอกจากการจับมือและกอดเธอบางครั้งในห้วงโอกาสแห่งการแสดงความยินดี ผมไม่เคยมีอะไรที่ลึกซึ้งเกินเลยกับปิ่นแม้ว่าผมจะปรารถนาสิ่งนั้นอย่างยิ่งยวดก็ตาม ผมเก็บปิ่นไว้ในใจไม่ต่างจากแก้วเจียระไนชั้นดีที่จะรองรับแต่ไวน์ชั้นเลิศในเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น ผมใฝ่ฝันที่จะเข้าเรือนหอกับปิ่น นั่งพนมมือรับน้ำสังข์คู่กันในงานแต่งงานของเรา ผมคาดหวังชีวิตที่จะมีปิ่นอยู่เคียงข้างเมื่อเราทั้งคู่สำเร็จการศึกษา

การมีเพศสัมพันธ์กับโจดี้ในวันนั้นเติมเต็มและชดเชยความหิวกระหายในวัยหนุ่มของผมได้ก็จริง แต่มันกลับตอกย้ำความเจ็บปวดที่ว่าผมคงปราศจากหนทางที่จะได้สัมผัสปิ่นอีกต่อไปแล้ว ปราศจากหนทางที่จะได้โอบกอด จูบหรือลูบไล้ ไม่มีทางที่ผมจะได้เป็นคนที่ล่วงล้ำไปในตัวเธอและในวันนี้เธอก็ได้กลายเป็นหญิงสาวผู้เคียงข้างบุคคลอื่นไปเสียแล้ว

การมีเพศสัมพันธ์กับโจดี้ในคืนนั้นคือการเติมเต็มความฝันของผมดังที่มะลิกล่าวอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย

“ผมก็คิดว่าจริง” ผมตอบมะลิ เสียงของผมแหบพร่า เป็นคำตอบที่มะลิคงแปลกใจในทีว่าเพราะเหตุใดผมจึงใช้เวลาขบคิดถึงมันนานเกินควร

“คุณมาทำงานอยู่ที่สิงคโปร์กี่เดือนแล้ว?”

“หกเดือน เกินเลยกว่านั้นคงไม่กี่วัน”

“ฉันก็คิดว่าคงเป็นเช่นนั้น มีร้านกาแฟที่ขายน้ำชาและขนมหวานอยู่ตรงหัวมุมอาคารถัดไป ฉันคิดว่าเราไปนั่งสนทนากันที่นั่นจะดีกว่า”

“แต่ผมต้องรอเพื่อน เขาอาจลงมาในอีกชั่วโมงหรือ…”

“ไม่เป็นไรหรอก เราเลือกที่นั่งริมกระจก จากตรงนั้นจะมองเห็นบริเวณนี้ได้ไม่ลำบากนัก และถ้าเพื่อนคุณลงมาจริง เขาย่อมเดินหาคุณเป็นแน่ หรืออาจคิดว่าคุณคงใช้บริการผู้หญิงคนใด เขาไม่ไปไหนไกลหรอก เชื่อฉันสิ”

 

มะลิพาผมเดินไปยังที่ร้านกาแฟดังกล่าว มันเป็นร้านกาแฟแบบดั้งเดิมที่มีหม้อน้ำร้อนขนาดใหญ่และผู้ชงใช้กระบวยตักน้ำร้อนในนั้นขึ้นปรุงกาแฟให้เรา “โกปี้ เตี้ยม กับโกปี้” มะลิพูดภาษาท้องถิ่นที่ทำให้ผมยิ้มออกมา ร้านกาแฟและกาแฟ เธอหมายความเช่นนั้น ท่าทีที่ผ่อนคลายและดูจะคุ้นชินกับหลายสิ่งหลายอย่างในประเทศนี้ทำให้ผมคาดว่ามะลิคงอยู่ในประเทศนี้นานนับปีแล้วเป็นแน่

เราทั้งคู่เลือกที่นั่งริมกระจกตามที่ตั้งใจไว้ จากที่นั่งของผมสามารถมองเห็นม้านั่งหินที่เราจากมาได้ชัดเจน ทำให้ผมหมดห่วงหากเคนจะเสร็จภารกิจของเขาและกลับลงมาเจอผมที่นั่น มะลิสั่งกาแฟร้อนใส่นมให้เราทั้งคู่พร้อมด้วยขนมปังทาเนยและราดนม ของหวานพื้นๆ ที่เราหาได้ทั่วไปแต่เข้ากันกับกาแฟนมดีเหลือเกิน

“คุณรู้ไหมว่าทำไมฉันชวนคุณมานั่งที่ร้านนี้?”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “ถ้าจะให้เดา คงเพราะคุณคิดว่าอากาศในห้องแอร์เหมาะกับการสนทนาของเรามากกว่า หรือไม่ก็ชุดสีแดงของคุณเมื่ออยู่กลางแดดมันอาจทำให้คุณและคนที่พบเห็นรู้สึกร้อนกว่าปกติก็เป็นได้”

“คุณเป็นคนมีอารมณ์ขันดีนะ” มะลิหัวเราะเบาๆ พนักงานเสิร์ฟที่มีอายุเกินวัยกลางคนหิ้วถ้วยกาแฟที่มีนมข้มนอนก้นสองถ้วยมาให้เรา พร้อมกับจานแบนที่วางขนมปังแผ่นหนาสองแผ่นและแก้วน้ำชาอีกสองใบ ผมเทน้ำชาจากป้านน้ำชาบนโต๊ะใส่แก้วของมะลิและแก้วของผม ข้างนอกแสงแดดเจิดจ้าสว่างไสว จนไม่น่าเชื่อว่าไม่ไกลจากที่เรานั่งนัก เคนกำลังหมกตัวอยู่ในห้องที่ไร้แสงกับใครสักคน

“ที่ฉันชวนคุณมานั่งที่นี่เพราะว่าที่นี่คือประเทศสิงคโปร์ ประเทศที่มีกฎระเบียบมากมายแบบที่ฉันและคุณอาจไม่คุ้นชิน คุณไม่อาจจุดบุหรี่ขึ้นสูบและนั่งสูบแบบสบายอารมณ์ในพื้นที่สาธารณะเช่นเมื่อครู่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย หากมีใครสักคนแจ้งเจ้าหน้าที่หรือรถตำรวจที่แล่นผ่านไปมา คุณจะถูกปรับอย่างหนัก แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าการที่คุณทำงานในโครงการก่อสร้างซึ่งไม่มีใบอนุญาตทำงานที่ชัดเจน คุณอาจผิดกฎหมายทั้งในฐานะคนเข้าเมือง ไม่นับว่าอายุการอยู่ประเทศนี้ของคุณถึงหกเดือนซึ่งฉันคิดว่ามันคงไม่ถูกกฎหมายอย่างแน่นอน”

ผมนั่งนิ่ง สิ่งที่มะลิกล่าวออกมานั้นถูกต้องทั้งหมด เป็นความเลินเล่อและสะเพร่าของผมเอง ความหงุดหงิดจากการที่เคนจู่ๆ ก็ผละจากผมไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความไม่คุ้นชินกับสถานที่ ทำให้ผมหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบอย่างลืมตัว หากเจ้าหน้าที่พบเห็นผมย่อมเสียค่าปรับแน่นอน ไม่นับผลอื่นๆ ที่ตามมาอีกมากอย่างที่มะลิเอ่ยออกมา

“แต่คุณก็นั่งลงสูบกับผม” ผมพยายามหาข้อโต้แย้งซึ่งดูไม่จำเป็นเลย

“ใช่ เพราะว่าหากฉันบอกคุณว่าที่ตรงนั้นห้ามสูบบุหรี่ ฉันคงทำหน้าที่เหมือนเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเกินไป และคุณอาจไม่แยแสคำเตือนของฉันเลยก็เป็นได้ การนั่งลงสูบบุหรี่ของฉันนั้นปลอดภัยกว่าคุณ หากเจ้าหน้าที่ผ่านมาฉันก็จะรับว่าบุหรี่เป็นของฉันและฉันยื่นให้คุณ และหากพวกเขาถามถึงสาเหตุ ฉันก็จะบอกว่าฉันถูกลูกค้าโกงค่าบริการและต้องการระบายความเครียด พวกเจ้าหน้าที่บริเวณนี้ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงอย่างเราหรอก เขาก็จะตักเตือนและให้ฉันดับบุหรี่ก่อนจะจากไป พวกเราเป็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่นี่ มีคนคุ้มครอง เจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็รับเงินจากคนคุ้มครองเรา ดังนั้น ฉันอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยกว่าคุณ”

ผมรู้สึกตื้นตันต่อสิ่งที่มะลิทำให้ผมอย่างยิ่ง ความเผอเรอของผมทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในภาวะที่ต้องเอาตัวมาเปลืองอย่างมาก “ผมขออนุญาตเลี้ยงอาหารหรือเครื่องดื่มให้คุณได้ไหม ตอบแทนความมีน้ำใจของคุณ”

“ไม่ล่ะ ราคากาแฟอะไรพวกนี้ไม่เท่าไหร่ เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากตอบแทนฉัน คุณซื้อบริการฉันดีกว่า ฉันยังไม่ได้ลูกค้าสักคนในวันนี้ ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย อีกอย่างฉันก็อยากจะมีอะไรกับคุณด้วย จ่ายให้ฉันเท่าที่คุณอยากจ่าย แต่เราต้องรีบเพราะอีกไม่นานเพื่อนของคุณคงเสร็จภารกิจของเขาแล้ว”

 

มะลิลุกออกจากโต๊ะไปจ่ายค่ากาแฟ เธอจูงมือผมออกจากร้าน เดินเข้าซอยเล็กๆ ข้างร้านกาแฟ ที่นั่นมีบันไดหนีไฟที่พาเราขึ้นไปบนอาคารแห่งหนึ่งที่ถูกแบ่งซอยเป็นห้องๆ มะลิพาผมขึ้นบันไดไปชั้นสาม เปิดประตูห้องแรกด้านขวาตรงทางเดิน ก่อนจะเปิดสวิตช์ไฟ มันเป็นห้องขนาดเล็กที่มีเพียงฟูกและตู้เสื้อผ้ากับห้องน้ำในตัว

มะลิถอดชุดสีแดงรัดรูปของเธอออกเผยให้เห็นยกทรงและกางเกงในสีแดงเช่นกัน เธอถอดสองชิ้นที่เหลือในเวลาต่อมาเผยให้เห็นผิวสีขาว เธอเอามือลูบที่เป้ากางเกงของผม “เร็วเถอะ ไม่ได้มีเวลามากนักนะ” ผมเปลื้องเสื้อผ้าของตนเองก่อนจะกอดเธอและล้มตัวลงบนฟูก ตรงฝาผนังมีรูปภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งเล่นอยู่กับเครื่องเล่นในสนาม “รูปลูกสาวฉันเอง” มะลิเอ่ย นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเธอก่อนที่เราจะมีอะไรกัน

ผมสอดใส่เข้าไปในร่างกายของเธอ กระทำทุกอย่างไปตามที่มันควรจะเป็น ในครานี้ผมไม่ได้คิดถึงปิ่น ผมไม่รู้สึกถึงความฝันใดๆ มีแต่ความเศร้าในใจ

เป็นความเศร้าที่เกิดจากภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่บนฝาผนังในห้องนั้น •

 

ท่าอากาศยานต่างความคิด | อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]