เรื่องสั้น : หน้ากาก

ฉัน…ฉันหลงใหลในสีดำ แต่ฉันไม่ยอมบอก บอกใคร ก็ฉันกลัวเหลือเกิน กลัวจะเป็นไม่เหมือนใคร…

ฝนขังตัวเองอยู่ในห้อง ฟังเพลง “หน้ากากสีดำ” วนซ้ำไปมาอยู่อย่างนี้มาจะชั่วโมงแล้ว เธอไม่ได้เปิดผ่านเครื่องขยายเสียง ฝนเสียบหูฟังนอนบนเตียงผ่านไอโฟนเครื่องกะทัดรัด ภายนอกห้องไม่มีใครรู้ว่าฝนเป็นอะไร อีกทั้งตอนนี้ก็มืดแล้ว ฝนกำลังตก พ่อและแม่ของฝนนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาชั้นล่าง ละครหลังข่าวเป็นที่โปรดปรานของคนทั้งสอง แต่ละครในชีวิตจริงของฝน อาจไม่เป็นที่โปรดปรานเท่าไหร่นักหากพ่อแม่ของเธอรู้เข้า

เมื่อวานฝนใส่หน้ากากจากหนังเรื่อง วี ฟอร์ เวนเด็ดต้า ที่สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตไปทำงาน เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างตกตะลึง แตกตื่น เธอหันใบหน้ายิ้มเย้ยกวาดตามองทุกคนแล้วนั่งลงที่โต๊ะทำงานตามปกติ งานคอลเซ็นเตอร์ งานที่ไม่ได้ใช้หน้าเจอผู้คน คนภายนอกสื่อสารกับเธอผ่านเสียง คนภายในจะนั่งทำอะไรอยู่ขณะสนทนา คู่สนทนาไม่อาจล่วงรู้ เรื่องหน้ากากก็เช่นเดียวกัน แม้ฝนจะใส่หน้ากากมานั่งทำงาน

ก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไรหนักหนา หากฝนจะบอกเหตุผลของการใส่หน้ากากของเธอให้ใครสักคนฟังว่าเป็น “เรื่องส่วนตัว”

สองวันก่อน ขณะฝนกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำในที่ทำงาน เพื่อนสาวสองคนเดินเข้ามายืนตรงหน้ากระจก

คงกำลังส่องสำรวจหน้าตาตัวเอง ตรวจดูความเรียบร้อยบนใบหน้าว่าควรเพิ่มแป้ง เติมลิปสติก ปัดมัสคาร่าหรือดูว่ามีอะไรติดค้างอยู่ในซอกฟันหรือเปล่า เพราะเพิ่งกินข้าวกลางวันกลับเข้ามา ทั้งสองยืนเจื้อยแจ้วไปเรื่อยเปื่อยจับสาระอะไรไม่ได้ ทั้งเรื่องหนุ่มออฟฟิศตึกข้างเคียง ข่าวซุบซิบดารา กระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้าลดราคา ฯลฯ

ฝนส่ายหน้าอย่างเอือมระอา อยากเปิดประตูออกห้องน้ำไปให้พ้นๆ แต่ก็เบื่อที่จะปั้นหน้ายิ้ม จึงรอให้คนทั้งสองเสร็จภารกิจตรงหน้ากระจกแล้วตนจึงค่อยออกไป แต่เรื่องเรื่อยเปื่อยที่ทั้งสองพร่ำพ่นอย่างมันปากก็ลามเลยเข้ามาถึงตัวเธอ

ฝนผู้ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร พูดน้อยและไม่เคยนินทาใครลับหลัง แต่ตอนนี้คนทั้งสองกำลังนินทาเธออย่างสาดเสียเทเสีย เรื่องที่เธอไปแย่งชายหนุ่มมาจากเพื่อนหญิงคนสนิท

“หน้าด้าน ไร้ยางอายเป็นที่สุด ทำเป็นสงบเสงี่ยม ที่แท้ก็แรดร่านแย่งผัวชาวบ้าน”

และอีกสารพัดที่ความคะนองปากจะประดาเข้าใส่ ทำเอาฝนแทบคลั่ง อยากเปิดประตูออกไปประจันหน้า แต่สุดท้ายก็กดข่มอารมณ์ไว้ จนกระทั่งเพื่อนทั้งสองออกไป เธอจึงดึงกลอนเปิดประตูออกมา

ฝนมองหน้าตัวเองในกระจก จ้องมองคนในกระจกแล้วอยากใช้กำปั้นกระแทกเข้าใส่คนในนั้น!

เธอมีความในใจที่ยากเกินเปิดเผยและต้องเก็บมันไว้ตลอดเวลา เธอรู้นับแต่วันที่ “หนุ่ม” แฟนของบีมาเล่นหูเล่นตาใส่แล้วเธอก็เล่นด้วยนั้น ผลที่ตามมามันจะเป็นเช่นไร ก็เป็นเช่นที่คำครหานินทาและสายตาหยามเหยียดจากเพื่อนร่วมงานที่เธอเจอนั่นไง

บีถึงกับเข่นเขี้ยวใส่เธอทุกครั้งที่เดินสวนกัน แต่บีบอกกับเพื่อนในกลุ่มของเธอเองว่า เธอไม่โกรธฝนหรอก เพราะเป็นเพื่อนเรียนกันมา อีกอย่างเรื่องอย่างนี้ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังอยู่แล้ว หากหนุ่มรักเธอจริงก็ต้องหนักแน่นพอ นี่แปลว่าหนุ่มไม่ได้รักเธอ แต่หนุ่มมีใจให้ฝนและฝนก็ตอบรับ เธอไม่โกรธ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมฝนไม่บอกเธอ เธอยินดีจะยกให้ ทำไมต้องให้เธอมารู้มาเห็นกับภาพบาดตาขณะที่ทั้งสองกำลังแลกจูบกันอยู่ที่ลานจอดรถ มันหยามเกียรติกันเกินไป!

ฝนนึกถึงสมัยเรียน นึกถึงเพื่อนในกลุ่มที่มีอยู่ด้วยกันห้าคนเป็นผู้หญิงทั้งหมด ตอนนั้นฝนสนิทกับบีมากที่สุด ต่างฝ่ายต่างไปค้างบ้านของกันและกันอยู่บ่อยครั้ง จนขึ้นปีสองบีมีหนุ่มต่างคณะมาจีบทั้งสองจึงห่างเหินกันไป แต่ยังไม่ทันจะหมดเทอม บีก็กลับมาสนิทสนมกับฝนใหม่อีกครั้ง

กลุ่มเพื่อนทั้งห้า มีกิ๊บกับกวางที่มุ่งแต่เรียน เรื่องผู้ชายทั้งสองบอกเอาไว้ทีหลัง ไว้เรียนจบก่อนค่อยว่ากัน ส่วนจอยมีเพื่อนชายควงได้ไม่ซ้ำหน้า เธอบอกชีวิตคือความสุข ควรสนุกกับชีวิตให้คุ้มค่า พ้นวัยนี้ไปจะมานึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านพ้นไปโดยไม่ได้ทำอะไร ทีแรกบีก็เป็นเด็กเรียนเหมือนกับกิ๊บและกวาง แต่ปรัชญาการใช้ชีวิตของจอยพักหลังๆ ก็ดูท่าบีจะให้ความสนใจมากกว่าการตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพียงถ่ายเดียว บีจึงชวนฝนให้ไปเป็นเพื่อนเที่ยวกลางคืนด้วยกัน เพราะจะได้อ้างกับที่บ้านได้ว่าบีมาค้างที่บ้านฝน ฝนเป็นเด็กเรียนปานกลาง ชอบอ่านการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจมากกว่าหนังสือเรียน ไปได้ทั้งกับกิ๊บและกวางหรือกับบีและจอย ความเป็นคนโอนอ่อนไม่หนักไปด้านใดด้านหนึ่งของฝนนี่เอง จึงเป็นข้อดีให้เธอสามารถเข้ากับเพื่อนได้ทุกคน

ฝนไม่ปฏิเสธชีวิตสนุกๆ ที่จอยใช้ แต่ถ้าสนุกจนเกินขอบเขตไม่ระมัดระวัง ความสุขที่ว่าก็คงไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง จนกระทั่งคืนหนึ่งตำรวจบุกเข้ามาตรวจจับสารเสพติดในสถานบันเทิงที่ทั้งสามไปเที่ยว และจอยก็เป็นหนึ่งในรายชื่อที่ทางตำรวจขึ้นบัญชีดำไว้และเฝ้ามองมานาน เพราะเธอเป็นทั้งคนค้าและเสพในเวลาเดียวกัน ฝนกับบีเห็นจอยโดนตำรวจจับกุมในคืนนั้น ดีที่จอยไม่ชักชวนให้เพื่อนลองใช้ยาสร้างความสุขด้วย ทั้งสองถูกจับตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดแต่ไม่พบ จึงถูกปล่อยตัวกลับบ้าน หลังจากวันนั้นฝนกับบีก็เลิกเที่ยวเด็ดขาดและกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนใหม่อีกครั้ง

หลังเรียนจบและเข้าสู่วัยทำงาน บีโทรศัพท์มาหาฝนว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ฝนซึ่งอยู่อีกบริษัทหนึ่งที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการปิดเล่มจึงไม่สะดวกคุย วันถัดมาบีจึงโทร.เข้ามาหาฝนอีกบอกเลิกงานจะไปหา ทั้งสองนัดเจอกันที่ร้านกาแฟข้างบริษัทที่ฝนทำงานอยู่

และเรื่องที่บีเล่าก็ไม่เกินเลยไปจากที่ฝนคิดแม้แต่น้อย…

“ไม่มากี่เดือนแล้ว” ฝนถาม จากนั้นฝนจึงถามบีตรงๆ ว่าได้คุยเรื่องนี้กับแฟนแล้วหรือยัง “ว่าแต่มันเป็นใครเหรอ” ความที่กิ๊บกับกวางทำที่เดียวกันจึงสนิทสนมกันมากกว่าฝนกับบี ส่วนฝนตอนเริ่มงานก็ไฟแรงช่วงสามสี่เดือนแรก จึงไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนเก่าเลยสักคน ความเป็นไปของเพื่อนแต่ละคน ฝนจึงเป็นคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย

บีระบายความในใจเรื่องการคบหากันแบบลับๆ กับเจ้านายในบริษัทที่เธอทำงานให้ฝนฟังจนหมด ยินดังนั้นฝนแทบพูดอะไรไม่ออก ไม่คิดว่าเพื่อนที่หน้าตาก็ออกจะสะสวยเลือกชายมาควงได้ตั้งเยอะจะมาพลาดท่าให้กับชายวัยกลางคนที่มีลูกมีเมียแล้ว แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่มันอยากให้บีเอาเด็กไว้ มันให้เงินค่าปิดปากมาก้อนหนึ่งเพื่อให้บีไปเอาเด็กออก บอกไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายและบีจะต้องมาเสียอนาคตด้วยวัยเพียงเท่านี้

เด็กเพิ่งเรียนจบ อายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสอง จะต้องมานั่งเลี้ยงลูกแล้ว ส่วนไอ้คนที่ทำก็ไม่ยอมรับผิดชอบใด นอกจากยัดเงินเป็นค่าปิดปาก ถึงคิดฟ้องร้องทำให้มันเสื่อมเสียชื่อเสียง บีเองก็ต้องเสื่อมเสียไปด้วย แล้วพ่อแม่ของเธออีกล่ะ หากทั้งสองรู้จะเป็นอย่างไรว่าลูกคนเดียวของครอบครัวประพฤติตัวเช่นนี้ ฝนจึงจำใจจูงมือบีไปสถานทำแท้งเถื่อนทั้งน้ำตากลบหน้า มันเป็นอีกหนึ่งวันอันเลวร้ายที่สุดในชีวิตที่บีต้องเรียนรู้ความเจ็บปวดและฝนต้องพลอยเจ็บปวดไปด้วยที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเพื่อนได้มากไปกว่านี้

ไม่นานฝนกับบีก็ลาออกจากบริษัทในเวลาไล่เลี่ยกันและมาทำงานเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่เดียวกัน อันที่จริงฝนไม่ค่อยชอบงานนั่งโต๊ะคอยให้คำปรึกษาเท่าไหร่ แต่เห็นว่าใกล้บ้านไม่ต้องเดินทางไกลและมีเพื่อนสนิทมาทำอยู่ที่เดียวกัน มันคงจะดี แต่ว่าฝนในตอนนี้กับฝนในตอนเรียนแทบจะเป็นคนละคนกัน เธอชอบอยู่เงียบๆ ตอนพักกลางวัน มากกว่าจะมาพูดคุยไร้สาระให้เวลาหมดไป เสมือนว่าโลกส่วนตัวของเธอที่เพื่อนๆ รู้กันดีก็คือ “หนังสือ” เวลาฝนอ่านหนังสือ เธอจะไม่ชอบคุยกับใคร บีก็เพิ่งมารู้ว่าฝนไม่ค่อยตามใจเธอเหมือนก่อนและชวนให้เธอคิดว่าหรือเป็นเพราะเรื่องคราวนั้น แต่สิ่งที่บีคิดไม่ใช่เสียทั้งหมด เพราะทุกครั้งที่เธอมีปัญหาเรื่องงาน คำปลอบใจดีๆ ก็มาจากฝนแทบทั้งสิ้น เหมือนว่าฝนยังคอยมองบีอยู่ตลอด มองอยู่ห่างๆ และไม่เคยผละเพื่อนผู้พลาดพลั้งให้ออกจากความเป็นเพื่อนสนิทเป็นเพียงเพื่อนร่วมงาน การแสดงออกน้อยแต่จริงใจของฝนสร้างความประทับใจให้บีเสมอ จนวันเกิดของฝนมาถึง บีจึงมอบของขวัญชิ้นพิเศษซึ่งแสดงถึงความในใจที่บีมีต่อฝน มันเป็นกล่องดนตรีรูปชายหนุ่มหญิงสาวแลกจูบกัน บีบอกหากฝนไม่ใช่เพื่อนและไม่ใช่ผู้หญิง ป่านนี้เราคงแต่งงานกันไปแล้ว

ไม่รู้เป็นเพราะคำพูดนี้หรือเปล่าที่ทำให้ฝนเริ่มรู้สึกสับสนกับตัวเองในเวลาต่อมา ทุกครั้งที่มองหน้าตัวเองในกระจก เธอมักจะบอกตัวเองเสมอว่าไม่ใช่ เธอยังมีความต้องการทางเพศกับผู้ชายมากกว่าความรักในเพศเดียวกัน จนกระทั่งหนุ่มพนักงานต่างออฟฟิศเข้ามาขายขนมจีบให้บีและก่อร่างความสัมพันธ์ โดยมีฝนเฝ้ามองอยู่ห่างๆ และให้คำปรึกษาเพื่อนไปแบบเดิมทุกครั้งว่า ให้เอาบทเรียนจากครั้งก่อนมาสอนใจตัวเอง อย่าเผลอไผลปล่อยตัวปล่อยใจไปอีก บีเชื่อฝน แต่ไม่เชื่อทั้งหมด เมื่อเย็นวันหนึ่งในลานจอดรถ บีกับหนุ่มแอบแลกจูบกันดูดดื่มอยู่ในรถยนต์ส่วนตัวของฝ่ายชาย โดยที่มีฝนยืนหลบอยู่ข้างเสาแอบมองอยู่

ฝ่ายชายนอกจากจะจูบซอกไซ้แล้วยังแทบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของฝ่ายหญิงออก ดีที่บีรั้งไว้ไม่ทอดอารมณ์เคลิ้มคล้อยต่อเนื่องให้เลยเถิดไปมากกว่านี้ หนุ่มจึงหยุดและพยายามควบคุมตัวเอง จากนั้นต่างฝ่ายต่างจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนสตาร์ตรถแล้วขับออกไป น่าแปลกที่ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หัวใจฝนเกิดเต้นแรงผิดปกติเหมือนรีบวิ่งกระหืดกระหอบหนีใครมา เธอเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเธอตื่นเต้นหรือวาบไหวเรื่องใดกันแน่ เรื่องถ้ำมองหรือความรู้สึกส่วนลึกของตัวเอง

แต่คำตอบของภาพเหตุการณ์วันนั้นก็ทำให้เธอกระจ่างแจ้ง เมื่อมาร่วมดื่มในงานวันเกิดของบีที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอนั่งตรงข้ามบี ส่วนหนุ่มนั่งข้างๆ บีและเพื่อนร่วมงานที่นั่งอีกฝั่งละสามคน อาหารอร่อย คุยสนุก มีร้องคาราโอเกะและที่ใต้โต๊ะมีขาข้างหนึ่งแอบสะกิดขาฝนอยู่บ่อยครั้ง เมื่อสายตาลอบมองกันไปมาอยู่สองสามครั้งก็ทำให้หัวใจฝนกลับมาเต้นรุนแรงเหมือนครั้งก่อน เธอรู้สึกร้อนวูบวาบในตัวเหมือนเลือดสูบฉีดผิดปกติ เพียงแค่โดนขาสะกิดหยอกเย้าและแววตาฉ่ำเยิ้มที่ลอบมองก็ทำให้ค่ำคืนนั้นเธอนอนไม่หลับ เธอแอบคิดถึงใบหน้าและดวงตาคู่นั้นของนายหนุ่ม หรือเธอแอบชอบนายหนุ่มเข้าแล้ว แต่นายหนุ่มเป็นแฟนของเพื่อนสนิทของเธอ

ฝนมีเบอร์ของฝ่ายชายอยู่ในโทรศัพท์มือถือ ครั้งหนึ่งบีเคยมาขอยืมโทร.หาเขาและเธอเองไม่ได้ลบทิ้ง และคืนเดียวกันนั้นเองราวห้าทุ่ม เธอก็โทร.ไปหานายหนุ่ม ขณะที่ฝ่ายชายกำลังนอนล่อนจ้อนอยู่กับบีและโทรศัพท์มือถือสั้นอยู่ในกางเกงยีนส์

ราวตีสองมีโทรศัพท์ดังที่เครื่องของฝน ฝนยังไม่หลับสนิทดีลุกขึ้นมากดรับ นายหนุ่มโทร.มาหา แล้วในที่สุดเธอก็พูดความในใจออกมาให้ฝ่ายชายรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรในอารมณ์หวามไหวที่เกิดขึ้นนี้ แต่เธอไม่อยากรู้สึกผิดต่อเพื่อน ทั้งสองจึงตกลงแอบคบกันเงียบๆ โดยที่ต่างฝ่ายต่างทำตัวตามปกติ ทั้งแอบไปกินข้าวกัน ดูหนังกัน เข้าโรงแรมหลับนอนกัน โดยทำลับหลังไม่ให้บีรู้ แต่ความลับไม่มีในโลก ไม่ว่าจะปกปิดไว้นานแค่ไหน

วันหนึ่งฝนออกก่อนเวลางานเพื่อขึ้นไปหานายหนุ่มที่ลานจอดรถ เพราะรู้ว่าช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่หนุ่มมารอรับบี แต่ที่เธอขึ้นไปหาไม่ใช่เพราะความรู้สึกรักล้นอยากเจอหน้าฝ่ายชาย แต่เธออยากมาบอกว่าพอเถอะ ยุติความสัมพันธ์ลับๆ ล่อๆ นี้เสียก่อนที่อะไรๆ มันจะเลยเถิดมากไปกว่านี้ แต่หนุ่มไม่ยอมฟังรวบตัวฝนเข้ามาสวมกอด ฝนพยายามสะบัดตัวออกแต่หนุ่มแข็งขืน กดริมฝีปากเข้าจูบอีกฝ่าย ต่างฝ่ายต่างแลกจูบกันเหมือนลืมการพูดจาทั้งหมดแล้วไหลไปในภวังค์อยู่ภายในรถยนต์ของชายหนุ่ม

จนลืมไปว่าตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานและบีได้ขึ้นมาเห็นภาพบาดตาทั้งหมด!

มันเป็นความหลงผิดที่ฝนอยากทำให้มันจบ แต่เรื่องมันกลับบานปลายจนยากจะแก้ไข

เธอทนทำใจมองหน้าเพื่อนไม่ได้และลางานหายหน้าไปสองวันเต็ม ก่อนกลับมาพร้อมหน้ากากยิ้มเย้ยนี้

เธอใส่อยู่อย่างนั้นทั้งวันจนกลับบ้านจึงถอดมันออก เธอรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและเพิ่งมารู้ความต้องการที่แท้จริงของตนเองเมื่อตอนที่มันสายไป

เธอไม่มีทางได้ความเป็นเพื่อนกลับคืนมา และยิ่งหากบีได้รู้ความจริงว่าทั้งหมดที่เธอทำมีที่มาจากตัวเธอว่า ทั้งหมดที่บีเป็น เป็นทั้งหมดที่ทำให้ฝนหัวใจเต้นแรง อยากแยกบีให้ออกห่างจากชายหนุ่ม

เพราะลึกลงไปในจิตใจ เธอไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกที่ตนมีต่อเพื่อนสาวคนสนิทได้ว่าแท้จริงแล้วเธอรู้สึกอย่างไร…