การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ กับซีดเผือดขาว

พี่โฟลืมตาขึ้นมาในที่สุด และราวจะไม่เชื่อในสายตาตัวเองเมื่อพบว่าคนที่นั่งใกล้ๆ คือฉัน

“อ้าว อีพี่” เสียงยังดูอ่อนล้า

“เป็นยังไงบ้างพี่”

“ไม่เป็นไง” พี่โฟขยับตัว ทำท่าจะลุกขึ้น “กี่โมงแล้วตอนนี้ จะกลับกันหรือยัง”

แต่แล้วก็นิ่วหน้าเอง ทิ้งตัวลงอย่างเดิม

“อะละ เจ็บ…ทำไมยังเจ็บแท้ว่า”

“พี่อย่าเพิ่งลุก” ฉันเป็นฝ่ายลุกขึ้นแทน และใช้มือเพียงข้างเดียวนั้นกดแขนพี่สาวร่วมพ่อลง “นอนไปก่อน หมอเขายังไม่ให้ออก”

“นี่กี่โมงแล้ว กูหลับไปนานเลยรึ”

“นาน” ฉันตอบ “มันผ่านไปสองวันแล้วพี่”

พี่โฟมีสีหน้าตกใจ ซึ่งไม่น่าแปลกใจสำหรับฉัน ด้วยตลอดระยะเวลายาวนานนั้น แม้พี่โฟจะรู้สึกตัวอยู่เป็นระยะ แต่เหมือนจะหลงวันหลงคืนไปไม่น้อย

“…หมอเขาว่ายังไง กูไม่ได้เป็นอะไรมากไม่ใช่หรือ”

คงจะเป็นครั้งแรก ที่ฉันได้สัมผัสความหวั่นกลัวแทรกอยู่ในน้ำเสียงของคนอย่างพี่โฟ ในสภาพที่นอนแน่นิ่งอยู่ หลอดเข็มยังปักคาแขน ถุงน้ำเกลือห้อยต้อยแต่ง

“หมอบอกว่าพี่ตกเลือดและติดเชื้อ”

อันที่จริงหมอพูดอะไรอีกหลายอย่าง แต่ฉันก็ไม่เข้าใจมัน คำศัพท์มากมายไหลผ่านหูไปพร้อมๆ กับเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดของเตียงอื่นๆ

แต่มีอย่างหนึ่งที่ฉันคงต้องบอกพี่โฟออกไป

สิ่งที่รู้ว่าพี่โฟจะต้องถามหา และจริงดังนั้น ในอึดใจต่อมา

“แล้วนี่อีฝนไปไหน”

นั่นไง

“พี่…”

ฉันอดคิดไปล่วงหน้าไม่ได้ พี่โฟจะว่าอย่างไร

“พี่ฝนมีอุบัติเหตุหน่อย”

พี่โฟเบิกตา

“…มันเป็นอะไร”

“มีเลือดคั่งในสมอง ต้องผ่าตัด”

พี่โฟพยายามยันตัวขึ้นทันที

“มันเป็นอะไร! รถชนกันรึยังไง! แล้วมันดีแล้วหรือยัง”

“ยัง ตอนนี้ยังไม่ฟื้น” ฉันพูดไปให้จบกระบวนความ

 

มีความสั่นระริกกระตุกเต้นขึ้นที่มุมปากพี่สาวร่วมพ่อ ฉันเห็นมันถนัดตา ในท่าที่พยายามลุกขึ้นนั่งให้จงได้ พี่โฟไม่ใช่คนโง่ และสิ่งที่ฉันได้บอกออกไป คงกระทบความรู้สึกเข้าเต็มแรง

“อีฝนมันเป็นคนดี…คอยช่วยเหลือกูตลอด แล้วนี่มันนอนตรงไหน”

“ไม่ได้อยู่โรงยานี้” ฉันบอก “ญาติพี่น้องเขามาเอาตัวไปแล้ว”

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายชั่วโมงก่อน เมื่อเรื่องถึงตำรวจ รอยถูกใส่กุญแจมือพาตัวไปโรงพัก และฉันถูกสอบสวนอยู่เนิ่นนานถึงเหตุการณ์ต่างๆ

จนกระทั่งญาติพี่น้องของพี่ฝนปรากฏตัวขึ้น และตำรวจได้บอกว่า พี่ฝนถูกพาตัวไปโรงพยาบาลแล้ว มีอาการหนักหนาสาหัสอยู่มาก อ้ายหมารอยอาจโดนข้อหาหนักหากพี่ฝนเป็นอะไรไป

นั่นคือสุดท้าย ฉันจึงต้องมาอยู่ที่นี่ เพราะในระหว่างนี้คงไม่มีใครมาเฝ้าพี่โฟอีก

นอกจากฉัน…

“…มันอยู่โรงยาไหน กูจะไปดูมัน”

“พี่ไปไม่ได้หรอก” ฉันแค่บอกอย่างควรเป็นอีกครั้ง “เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”

 

จะมีคืนไหนบ้างไหม ที่แสงจันทร์จะกลับไปสวยงามนวลใย เหมือนในคืนที่พวกเราเคยวิ่งเล่นด้วยกันบนถนนคลุ้งฝุ่นเหล่านั้น

[…งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า งามน้ำฟ้าลงมาพร่างพรำ…]

เนื้อเพลงจริงๆ เป็นยังไงไม่รู้ แต่อ้ายหมารอยก็เป็นต้นเสียงแต่งใหม่

[…งามกอกล้วยแก่นสวยหน้าหนอง งามน่ามองคือน้องคอดำ

คอดำ คอด่ำ คอดำ, คอดำ คอด่ำ คอดำ

ถึงคอจะดำ แต่หน้างามหยั่งเดือน…]

[“อีพี่ กูถามอะไรมึงหน่อย”

บนก๊างเฟืองสูงใหญ่ ที่ปกติจะอัดแน่นด้วยฟางข้าวมัดเป็นฟ่อนๆ รอยลากบางฟ่อนขึ้นซ้อนทับกัน จัดแจงจนเหลือที่ให้เข้าไปนั่งห้อยขา มือเหนี่ยวไม้ที่ตีกั้นรอบด้าน ให้ฉันหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

กลิ่นของทุ่งนายังตกค้างอยู่กับฟางเก่า ปนแห้งปนชื้น เจือกลิ่นอับรา มีกลิ่นขี้งัวขี้ควายด้านล่างลอยฉุนขึ้นเป็นระยะ แต่ไม่นานนักก็มีลมตีผ่านหน้า ความเย็นต่างจากเวลาอยู่บนพื้นดิน

“เป็นไง ชอบมั้ย”

“ก็ดี”

“กูชอบมาอยู่บนนี้ รำคาญยายนักก็มา”

“อือ”

ฉันรับคำในคอ

มองไปเบื้องหน้า พ้นยอดไม้และกอไผ่ เห็นทุ่งทิศตะวันตกกำลังเขียวพรืด เป็นสีเขียวละไม ผ่านฤดูลงนากันมาแล้ว ข้าวกล้าปักดำฉ่ำน้ำฉ่ำโคลน ถึงหน้าหนาวก็จะเข้าช่วงเก็บเกี่ยว…ตอนนั้นที่ฉันหวังว่า แล้วคงจะมีงานทำ

ถ้ารับจ้างเกี่ยวข้าว จะได้ค่าแรงวันละยี่สิบถึงยี่สิบห้าบาท สี่ห้าวันก็จะได้ใบแดง ความหวังฉันอยู่ตรงนั้น รอเดือนพฤศจิกายน

“ไหน มึงจะให้กูดูอะไร” หันไปถามคนที่ชวนให้ไต่ขึ้นก๊างเฟืองมา “ถ้ามึงไม่บอกเสียที กูจะลงไปละ”

“เดี๋ยวอีพี่ มึงดูโน่น”

เมื่อหันตาม ยังไม่เห็นอะไรมากไปกว่าผืนนาที่บางแปลงมีน้ำสะท้อนฟ้าแปลบปลาบ ยันตัวยืดขึ้น ก็เห็นแต่เมฆ หญ้า ผืนนา และหัวคนลิบๆ คงหาปูหาปลา ไม่ก็ออกมาเก็บหอย

“ไม่เห็นมีอะไร มีแต่ทุ่งกับดอย”

พ้นทุ่งไป มีเส้นคั่นเกิดขึ้น หมู่บ้านของเราแวดล้อมด้วยทิวดอยรูปวงกลม ถ้าไม่ไต่ข้ามเขาก็ออกพ้นดินแดนแห่งนี้ไม่ได้

ตอนนั้น…ฉันก็ยังไม่เคยไปไหนไกล อ้ายหมารอยก็เหมือนกัน

“นั่นละ ที่กูอยากให้มึงดู ทุ่งตะวันตกแห่งนี้”

อ้ายหมารอยพูดขึ้น ขยับใกล้เข้าแต่ก็ยังเว้นระยะห่าง

“อีกหน่อย ถ้ากูไม่อยู่ ถ้ามึงเห็นตะวันตกฝั่งนี้จะได้นึกถึงกูบ้าง”

ฉันเหลียวดูหน้า

“มึงจะไปไหน”

“กูจะไปกับรถบรรทุก” รอยตอบ “แม่กูว่าถ้าไปหาพ่อกู เขาคงไม่ใจจืดใจดำ เขาจะฝากให้ได้”

“พ่อมึงที่ไชยปราการนะรึ”

“อือ”

“มึงเคยปะหน้าแล้วหรือ ไหนว่าพ่อมึงตายไปแล้ว”

“ยังไม่ตาย” เสียงรอยเบาลง “แม่กูเขียนจดหมายให้แล้ว หนแรกเขาจะมาเอาอีปิมไปอยู่ด้วย แต่ยายไม่ให้ แม่ก็ไม่ให้ แล้วยายเลยว่า งั้นเอากูไปแทน”

“…อ้าว แล้วน้องมึง”

“กูก็รอว่าเมื่อไหร่จะได้พูดกับมึงดีๆ แม่เขียนจดหมายให้แล้ว กูถือขึ้นรถบัสไป ถึงที่โน่นพ่อกูจะเป็นธุระให้”

ฉันกลับไปมองทุ่งตะวันตกอีกครั้ง

“แล้วมึงจะนึกถึงกูมั้ย”

“นึก ถ้ากูเห็นตะวันขึ้นทางตะวันออก จะนึกถึงบ้านมึง แม่มึง แล้วก็ตัวมึง”

“มึงจะไปเมื่อไหร่”

“พรุ่งนี้”

“ทำไมไปเร็วนัก”

“กูอยากไปเร็วๆ จะได้พ้นทุกข์เสียที”

“มึงแน่ใจรึว่าที่อื่นไม่ทุกข์”

“กูไม่รู้ แต่ถึงจะทุกข์ก็จะอดเอา ใหญ่แล้ว”

“เขาจะรับมึงเร้อ ตาเหลือแก่นเดียว จะขับรถได้หรือมึง”

“กูจะไปเป็นท้ายรถ ไม่ได้จะขับเอง”]

 

ฉันเพิ่งจำได้ว่า นอกจากขาที่กะเผลกนั้นแล้ว รอยยังมีตาเหลือเพียงแค่ข้างเดียว และ…และฉันก็เป็นฝ่ายลืมมันไปหมดสิ้น

แม้จะพบกันอีก แม้จะพูดได้ยากว่าลึกๆ รู้สึกยังไง เมื่อปะปนกันไปหมดทั้งความยินดีและความกระอักกระอ่วนใจ ก็ช่างน่าเศร้าเหมือนเกิน ที่สุดท้าย ดูเหมือนเราจะจากกันจริงๆ แล้วตั้งแต่นั้น

ตั้งแต่นั้น…ที่การพบกันของเรา ไม่เคยสวยงามอย่างที่คิด

[“อีพี่…”

“อะไร”]

ในวันนั้น เมื่อตีนเหยียบลงพื้นดินแล้ว เด็กชายยังอยู่ข้างบน แหงนหน้าขึ้นดู ฉันเห็นเงาตะคุ่มหนานั่งบนกองเฟือง สักครู่ก็นอนเขลงลงไป

ถ้าเราต่างรู้ว่าวันนี้จะเป็นอย่างนี้ ในวันนั้น เราจะพูดกันอย่างนั้นอีกไหม

“อีพี่…”

“อะไร”

“มึงอย่าลืมนะ ถ้ามึงเห็นตะวันตกลงทุ่ง อย่าลืมนึกถึงกู…ถ้ากูเห็นตะวันขึ้น กูจะนึกถึงมึง”

บัดนี้ ไม่มีทั้งตะวันขึ้นและตะวันตก มีเพียงนรกที่ผ่าวร้อนอยู่ในวันเดือน สิ้นสุดความเยือกเย็นก็เห็นแต่คราบน้ำตาเปื้อน กับซีดเผือดขาว ราวพี่โฟเองก็ตายไปพร้อมๆ กับฉัน