ผู้นำ คนละครึ่ง | บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

ผู้นำ

คนละครึ่ง

 

หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี สามารถไปต่อ โดยให้นับวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 และสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ถึงปี 2568

เหล่าบรรดากองเชียร์ เช่น นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มองโลกในแง่สดใส โดยโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “ครบ 8 ปี ลุงตู่มองแง่ดีเหลือเวลาตั้ง 3 ปี เร่งปฏิรูปจัดการบ้านเมืองไทยให้เข้มแข็งสบายมากนะจ๊ะ #คนดีไม่มีวันตาย”

ซึ่งนั่นหมายความว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกประเมินและหวังว่า จะต้องสืบเนื่อง ไม่ขาดตอน

คืออยู่ในวาระจนครบในห้วงต้นปี 2566 จากนั้นก็จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคใดพรรคหนึ่ง แล้วรอ ส.ส.ที่ผ่านการเลือกตั้ง และ ส.ว.ขั้วอำนาจเดิม ยกมือโหวต ให้กลับมาเป็นนายกฯ อีก 2 ปีกว่าดังว่า

 

นั่นเป็นการมองแบบโลกสวยสุดๆ ของฝ่ายที่เป็นติ่ง พล.อ.ประยุทธ์

โดยมองข้ามสมการการเมืองอื่นๆ ทั้งคู่แข่งสำคัญอย่างพรรคเพื่อไทย ที่กำลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์อย่างคึกคัก

ขณะที่ฝ่ายกันเองอย่างพรรคภูมิใจไทย ก็พร้อมจะเบียดแซงขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่โดยฮีกเหิม

ที่สำคัญในหมู่พี่น้องกันเอง “3 ป.” โดยเฉพาะ ป.ป้อม นั้นต้องยอมรับในระยะหลังขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจของตนเองเป็นหลัก

เมื่อเป็นหลักเช่นนี้แล้ว จะยอมเป็นส่วนประกอบ หรือเพียงกองหนุนเหมือนเดิม หรือไม่ ล้วนเป็นคำถามที่น่าแสวงหาคำตอบ

แน่นอนย่อมไม่สดใส อย่างที่ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์หวัง

ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์เหลือเวลาอีก “ไม่ถึง 3 ปี” ไม่ใช่ “ตั้ง 3 ปี” อย่างนายสมชายว่า บทบาทของ พล.อ.ประวิตรก็ยิ่งสูงเด่นที่จะมาเบียดชิง

เพราะการที่จะชู พล.อ.ประยุทธ์เป็นจุดขาย ว่าเป็นนายกฯ ครึ่งเทอม นั้นยากยิ่งที่จะ “ขาย” ได้

พล.อ.ประวิตรจึงจำต้องคิดไปไกลกว่านั้น

การจะมายอมเชื่องๆ ให้ เป็นผู้นำหรือนายกฯ คนละครึ่งกับ พล.อ.ประยุทธ์

ไม่ใช่คำตอบสำหรับการเมืองปัจจุบันแล้ว

 

ดังนั้น เมื่อนายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมาเปรี้ยงปร้างถึงแนวทางการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งสมัยหน้า จึงได้รับความสนใจอย่างสูง

สนใจอย่างสูงว่า นักการเมืองเชี่ยวเกมอย่างนายวีระกร กำลังทำสงครามตัวแทนให้ใครหรือไม่

โดยนายวีระกรระบุว่า การเสนอชื่อคนเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งรอบหน้า เชื่อว่าจะเสนอรายชื่อให้ครบทั้ง 3 คน ไม่เสนอแค่คนเดียว

“จะเสนอชื่อทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อีกคนกำลังพิจารณาอยู่ เพราะทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ต่างเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนจำนวนมาก ต้องดึงคะแนนนิยมแต่ละคนมาช่วยทำคะแนนให้พรรค แม้จะบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์มีคนไม่ชอบเยอะ แต่มีแฟนประจำเยอะพอสมควร ส่วนการหาเสียง ถ้าชาวบ้านถามว่าจะเสนอใครเป็นนายกฯ จะบอกว่าอยู่ใน 3 คนที่เสนอชื่อมา พรรคเพื่อไทยรอบที่แล้วก็เสนอชื่อ 3 คน ก็ไม่มีใครถามจะเอาใครเป็นนายกฯ”

และที่ต้องขีดเส้นใต้หนาๆ คือคำพูดของนายวีระกร ที่ว่า เมื่อถึงตอนเสนอชื่อนายกฯ เพื่อโหวตในสภานั้น คงต้องเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อได้แค่ 2 ปี อาจให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นรองนายกฯ หรือ รมว.กลาโหม ยืนยันการเลือกตั้งรอบหน้า “3 ป.” ยังไปด้วยกัน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เล่นการเมืองไม่เป็น คนเล่นการเมืองคือ พล.อ.ประวิตรคนเดียว ส่วน พล.อ.ประยุทธ์เป็นฝ่ายบริหาร ไม่เล่นการเมือง ไม่สุงสิงกับ ส.ส. ปราศรัยไม่เป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่คิดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมาอยู่ด้วย คงจะแห้ว พล.อ.ประยุทธ์ไม่มาร่วมหัวจมท้ายด้วยแน่ เพราะเป็นนายกฯ ได้อีกแค่ 2 ปี จะมาชู พล.อ.ประยุทธ์ได้อย่างไร

“สมัยหน้าเป็นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่จะมี ส.ว.มาช่วยสนับสนุน ดังนั้น ต้องดันลุงป้อมเป็นนายกฯ ส่วนลุงตู่ไปเป็นรองนายกฯ หรือ รมว.กลาโหม หรือโยกเป็น รมว.มหาดไทย ก็ได้ ถึงลุงตู่เคยเป็นนายกฯ มาแล้ว จะมาเป็นรองนายกฯ ก็ไม่เป็นไร เพราะ 3 คนพี่น้องแน่นแฟ้นกันเหนียวแน่น มองบ้านเมืองเป็นหลัก” นายวีระกรระบุ

 

นี่ถือเป็นสมการการเมืองใหม่ ที่สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับความคาดหวังโลกสวยที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ไปอีก 3 ปี

ทำให้แกนนำพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาตอบโต้

อย่างนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ บอกว่า การจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่คนคนเดียวจะคิดและตัดสินใจแทนคนทั้งพรรค ต้องให้สมาชิกและกรรมการบริหารพรรคมีมติเห็นชอบก่อน

“ส่วนตัวผมและเพื่อน ส.ส.พลังประชารัฐอีกหลายคน ตัดสินใจมาอยู่กับพลังประชารัฐ ก็เพราะพรรคสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และให้กำลังใจมาโดยตลอด” นายสุชาติกล่าว

เมื่อถามว่า ไม่ขัดใช่หรือไม่หากสมาชิกพรรคมีความเห็นสนับสนุน พล.อ.ประวิตรเป็นแคนดิเดตนายกฯ 1 ใน 3 ในบัญชี

นายสุชาติกล่าวว่า “ก็ต้องดูความเห็นของส่วนรวม แต่ผมมาพรรคพลังประชารัฐ ส่วนตัวก็ยังยืนหยัดว่าพรรคเสนอ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ มันก็เป็นเจตนารมณ์ของผมที่ผมมาพรรคนี้”

 

สงครามตัวแทนในพรรคพลังประชารัฐจึงร้อนระอุ

ระอุขณะที่ พล.อ.ประวิตรนิ่งเงียบ

ยังคงเดินหน้าลงตรวจพื้นที่อย่างแข็งขัน

และดูจะมีจุดยืนการเสนอชื่อแคนดิเดตของพรรคพลังประชารัฐ 2-3 คน มิใช่ พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวเหมือนที่ผ่านมา

ซึ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ได้ฟังและเห็นท่าทีเช่นนี้แล้ว แม้จะนิ่งเงียบเช่นกัน

แต่กระนั้น หลายคนก็อดคิดเยอะไม่ได้

เมื่อได้ยินคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ในการปฏิบัติภารกิจแรกหลังกลับมาปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี คือเป็นประธานการประชุมการบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัย และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา

โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในวันที่ 4 ตุลาคม จะลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น และอุบลราชธานี เพื่อไปเยี่ยมและให้กำลังใจ

“ไม่ต้องมีป้าย ไม่ต้องเอาคนมาถือป้าย ไม่เอา เข้าใจใช่ไหม เพราะผมจะไปทำงาน และไม่สร้างภาระให้กับใครทั้งสิ้น”

“ไม่ต้องเรื่องมากกับผม เพราะผมสมบูรณ์แข็งแรง ดูแลตัวเองได้ ขอให้ไปดูแลประชาชนที่เดือดร้อนดีกว่า ผมไม่เป็นภาระกับใคร”

 

เสียงสำทับไปยัง “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ในเรื่องของการไม่มีการชูป้ายนั้น

ทำให้หลายคนใจประหวัดถึงการไปเยี่ยมประชาชน ของรักษาการนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่คึกคักด้วยป้ายต้อนรับขึ้นมาทันที

ขณะเดียวกัน ภาวะแรงบันดาลใจที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรเดินเหินอย่างแคล่องคล่อง อันเป็นประเด็นให้พูดถึงอย่างครึกโครม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตรอยู่ในสภาพที่ต้องประคับประคองดูแล

มิได้สมบูรณ์แข็งแรง ดูแลตัวเองได้ อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ว่า

การที่จู่ๆ พล.อ.ประยุทธ์พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้หลายคนอดชำเลืองมองการลงพื้นที่เยี่ยมชาวบ้านของ พล.อ.ประวิตรไม่ได้

แต่กระนั้น ก็คงต้องให้ความเป็นธรรมกับ พล.อ.ประยุทธ์เช่นกัน ที่อธิบายว่า ที่พูดไปเช่นนั้นเพราะไม่อยากไปเป็นภาระให้ใคร เป็นเรื่องการดูแลพื้นที่ในภาพรวม

ส่วนที่ไม่ให้มีการชูป้ายต้อนรับนั้น ที่ผ่านมาก็รู้ว่าหลายๆ คนให้กำลังใจตนมาตลอด ซึ่งก็ขอขอบคุณมากๆ แต่อย่าให้เป็นภาระเลย ตราบใดที่ตนยังทำหน้าที่อยู่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

ส่วนการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่สามารถไปได้ถึงปี 2568 ที่จะเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ปี พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า “อนาคตคืออนาคตนะจ๊ะ”

 

แน่นอน อนาคตนะจ๊ะ ที่ว่านั้น ฝ่ายที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมอยากให้เป็นดังโครงการยอดฮิตของรัฐบาล “คนละครึ่ง”

คือ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ไปจนครบวาระครึ่งเทอม แล้วจากนั้นก็เปิดทางให้ พล.อ.ประวิตร

แต่กระนั้น ฝ่ายที่สนับสนุน พล.อ.ประวิตร จะสุกงอมด้วยหรือไม่ ยังเป็นคำถาม

เพราะการทิ้งระยะไปอีกครึ่งเทอม ย่อมทำให้มีตัวแปรใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งอาจทำให้สถาการณ์ผลิกผัน และเสียง ส.ว.ที่จะสนับสนุนก็จะหายไป

ดังนั้น สำหรับ พล.อ.ประวิตรที่อยู่ในช่วงปลายแห่งชีวิตแล้ว เมื่อมีโอกาสแล้วจะยอมละทิ้งไปหรือ

ผู้นำคนละครึ่ง สำหรับพี่ใหญ่ จึงอาจไม่ใช่คำตอบ

แม้ว่าน้องตู่อยากจะแบ่งผู้นำคนละครึ่งมากก็ตาม