(เรื่องสั้น) นิติ ภวัครพันธุ์ : ความลับของพจมาน

พจมานมีความลับ เป็นความลับที่เธอคิดว่ารู้อยู่คนเดียว แม้แต่ยายก็อาจจะไม่รู้ เพราะยายไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทั้งๆ ที่ยายเป็นคนให้ของชิ้นนั้นแก่เธอ ซึ่งเป็นของที่ยายรักมาก ยายเคยบอกว่านอกจากเธอที่ยายรักที่สุดแล้ว ก็มีของชิ้นนั้นแหละที่ยายรักและหวงแหนมาก เพราะเป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากปู่ย่าตายาย

“กูให้แม่มึงไว้ แต่มันไม่ใส่ใจ” ยายเคยเล่า

“แม่มึงมันสนใจแต่ผู้ชาย กูให้มันไป มันก็ทิ้งๆ ขว้างๆ จนท่านเกือบหายไป ดีว่าท่านมาเข้าฝันกู บอกให้กูไปเอากลับมาเก็บไว้เอง ไม่งั้นท่านจะไปเลย กูก็เลยไปทวงกับแม่มึง มันก็หาๆๆ กว่าจะเจอกูงี้ใจหายใจสั่นหมด กลัวว่าท่านจะหายไปจริงๆ ดีว่าแม่มึงหาเจอ กูเลยเอาท่านกลับมา”

ตั้งแต่นั้นยายก็ไม่เคยให้สมบัติชิ้นนั้นห่างกายจนกระทั่งวันที่ยายเอามาให้พจมาน

“เมื่อคืนกูฝันไม่ดี” ยายเล่าให้พจมานฟัง

“กูฝันว่ามีโจรเข้ามาในบ้าน มันจับกูมัดมือมัดปาก กูจะร้องก็ร้องไม่ได้ จะดิ้นก็ดิ้นไม่หลุด แล้วมันก็เข้าไปจับตัวมึง จะทำร้าย กูตกใจมาก ดิ้นๆๆ จนกูสะดุ้งตื่น เลยรู้ว่าฝันร้าย แต่กูรู้สึกแปลกๆ เงยหน้าไปมองท่านบนหิ้ง เหมือนท่านจะยิ้มให้ เหมือนจะบอกกูว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว กูเลยคิดว่ามึงน่าจะมีไว้กับตัวมึง เผื่อท่านจะได้ช่วยปกป้องมึง”

แล้วยายก็ยกของชิ้นนั้นขึ้นพนมจรดหน้าผาก อธิษฐานอยู่ครู่หนึ่งก็ยื่นให้ “มึงเก็บไว้ กูให้ เจ้าแม่จะได้คอยคุ้มครองมึง”

ของชิ้นนั้นเป็นรูปหล่อสำริด สูงราวเจ็ดเซนติเมตร กว้างห้าเซนติเมตร เป็นรูปสตรีมีสิบแขน ในมือทั้งสิบถืออาวุธต่างชนิดกัน ที่น่าประหลาดคือตรงฐานของรูปหล่อเป็นรูปหัวกะโหลกขนาดเล็กๆ จำนวนมาก และเท้าทั้งสองข้างของสตรีผู้นี้ก็เหยียบอยู่บนหัวกะโหลกเหล่านั้น

“เจ้าแม่มีอิทธิฤทธิ์นะมึง ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก” ยายบอก

“แต่ท่านใจดีกับมึงแน่ กูรู้ มึงเก็บไว้ดีๆ อย่าเหมือนแม่มึง”

พจมานเป็นชื่อที่ยายตั้งให้ ว่าเป็นชื่อเดียวกับนางเอกในละคร

“มึงจะได้สวย เก่ง ดีเหมือนนางเอกนั่นไง” ยายเคยพูดแล้วก็ยิ้ม

แต่แม่เรียกเธอว่าอีมาร “มึงมันนังมารตัวแสบ เป็นมารตามกวนตัวกวนใจกู”

เวลาเมาเหล้าแม่มักจะด่าแบบนั้น

“มึงไปให้ไกลๆ กูเลย อีมาร มึงจะตามมาเป็นมารผจญชีวิตกูทำไม?”

แล้วแม่ก็ร้องไห้ ร้องๆๆ จนเมาหลับไป แต่จริงๆ แล้วแม่ไม่ได้ใจร้ายใจดำอะไรกับเธอนัก ตีบ้างเวลาแม่โมโห หรือด่าบ้าง แต่วันไหนที่แม่ถูกหวยหรือชนะไพ่ได้เงินมา แม่จะซื้อของอร่อยๆ ให้เธอและยายกิน วันไหนได้เงินแยะแม่ก็ซื้อเสื้อหรืออะไรสวยๆ ให้ พจมานจึงไม่เคยโกรธแม่ ไม่ถือสาอะไรแม่ ถ้าแม่เมาหรือโมโหเธอก็เงียบซะ ไม่ต่อปากต่อคำ เดินออกจากบ้านไป พจมานคิดว่าถ้าแม่ไม่เห็นเธอแม่ก็เลิกโมโหไปเอง และเธอก็ไม่ต้องทนฟังคำด่า

แต่พจมานไม่รู้ว่าพ่อเป็นใคร และไม่เคยเห็นพ่อ

“มึงจะเสือกถามเสือกอยากรู้ไปทำไม” แม่เคยด่าพจมานตอนที่เธอถามแม่ว่าพ่ออยู่ไหน

“พ่อมึงตายห่าตายโหงไปนานแล้ว” แม่ตะคอกใส่จนเธอกลัว หลังจากนั้นมาเธอไม่เคยถามแม่อีกเลย แต่พอถามยาย ยายก็ไม่พูดอะไร มองหน้าเธอแล้วก็ลุกขึ้น เดินเข้าไปในครัว ไปนั่งอยู่คนเดียวในครัว พจมานจึงไม่รู้ว่าพ่อคือใครหรือไปไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่เรื่องนี้ทำให้เธอโดนเด็กคนอื่นในตลาดล้อว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ

แรกๆ เธอก็โกรธ ไปทะเลาะตบตีกับเด็กที่ล้อเธอ แต่นานๆ เข้าเธอกลับไม่รู้สึกโกรธหรืออยากทะเลาะด้วย ถ้าเธอไม่เดินหนีไปทางอื่นเมื่อเห็นพวกนั้น ก็เล่นคนเดียวอยู่ในบ้าน พจมานจึงเป็นคนเงียบๆ ชอบอยู่คนเดียว นอกจากดำและเขียว น้องชายอีดำ ลูกของคนเก็บขยะที่อาศัยอยู่ท้ายวัด เธอก็ไม่มีเพื่อนคนอื่น

ดำนั้นตัวดำสมชื่อ และตัวโตมาก เด็กคนอื่นจึงไม่กล้าล้อ แต่ดำและน้องชายไม่เคยล้อพจมาน อาจเป็นเพราะว่าพอมันสองคนมาเล่นกับพจมานที่บ้าน ถ้ายายอยู่ยายมักจะเอาขนมให้ทั้งสองคนพี่น้องกิน หรืออาจเป็นเพราะว่าพจมานก็ใจดีกับมันสองคนด้วย มีอะไรเธอก็มักแบ่งปันให้ ดำและเขียวจึงชอบพจมานและชอบมาเล่นที่บ้านเธอ

บ้านของยายอยู่ท้ายวัดที่ติดกับตลาด เป็นบ้านไม้เก่าๆ ปลูกอยู่ในที่วัด ยายเล่าว่าสมัยที่ตาเป็นหนุ่มมีอาชีพเป็นช่างไม้ รับจ้างทำงานสารพัด ตาขยันขันแข็งและไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นหรือมีเรื่องมีราวกับใคร เวลาวัดมีงานตาก็ไปช่วย อะไรในวัดชำรุดเสียหายตาก็ช่วยซ่อมแซมให้โดยไม่เคยคิดค่าแรงค่าจ้าง แม้แต่กุฏิพระหลังใหม่ตาก็เคยช่วยสร้าง ตาบอกยายว่าเหมือนทำบุญ ทำแล้วสบายใจ รู้สึกดี (แต่ยายเคยบ่นกับพจมานว่ายายเสียดายเงินค่าแรง ถ้าได้ก็ดีจะเอาไปซื้อของที่อยากได้ แต่ยายไม่เคยโต้เถียงกับตาเรื่องนี้) สมัยนั้นตาปลูกกระต๊อบหลังเล็กๆ อยู่ใกล้ป่าช้าที่อยู่ทางใต้ของวัด เป็นที่งอกตรงหัวโค้งของคลองที่ชาวบ้านเรียกกันว่าคลองศาลเจ้า เกิดจากโคลนดินที่ไหลมากับน้ำในคลองทับถมกันจนกลายเป็นแผ่นดิน ที่งอกออกมาใหม่ตรงนั้นจึงเป็นที่ไม่มีเจ้าของ

“ไม่มีใครอยากอยู่ด้วยเพราะมันติดกับป่าช้า แต่กูไม่เคยโดนผีหลอกนะ กูมีของดี” ยายเคยเล่าด้วยรอยยิ้ม

ตากับยายอาศัยอยู่ที่กระต๊อบนั้นจนยายท้องแม่ของพจมาน เจ้าอาวาสองค์ก่อนบอกตาให้หาที่อยู่ใหม่ ท่านให้เหตุผลว่าคนท้องคนไส้ไปอยู่ใกล้ป่าช้ามันไม่ดี แต่ตาก็หาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ บางที่ค่าเช่าแพงจนตาจ่ายไม่ไหว บางที่ก็อยู่ไกลจากตลาดจากวัด ไปมาลำบาก ในที่สุดเจ้าอาวาสจึงอนุญาตให้ตาปลูกบ้านบนที่ดินของวัดที่ติดกับตลาด แล้วตาและเพื่อนสนิทอีก 2-3 คนก็ช่วยกันปลูกบ้านไม้หลังนี้ขึ้นมา

“หลวงพ่อท่านใจดีมีเมตตา”

พอยายนึกถึงเจ้าอาวาสองค์ก่อน น้ำเสียงก็เริ่มสั่นเครือ

“ถ้าไม่ได้หลวงพ่อ ยายกับมึงคงไม่มีบ้านหลังนี้ ค่าชงค่าเช่าท่านก็ไม่เก็บ ท่านบอกตาว่าอยู่ไปเถอะโยม อยู่แล้วครอบครัวร่มเย็นเป็นสุขก็ดีแล้ว ท่านใจดีจริงๆ แต่อายุสั้น”

พูดจบยายก็ร้องไห้

พอแม่ของพจมานอายุได้ 4-5 ขวบเจ้าอาวาสมรณภาพลง หลังจากมีเจ้าอาวาสองค์ใหม่ได้ไม่นานทางวัดเริ่มเก็บค่าเช่าที่จากตา บอกว่าเป็นที่วัดและวัดมีค่าใช้จ่ายมาก วัดจึงต้องหารายได้ ตาก็มิได้อิดออดหรือบ่นว่าอะไร ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวและจ่ายค่าเช่าที่

ยายจึงเริ่มทำขนมขายเพื่อหารายได้เพิ่ม ทีแรกยายทำข้าวเหนียวหน้าสังขยาและหน้าปลาแห้งเอาไปขายที่ตลาด แต่ขายสู้แม่ค้าที่ขายข้าวเหนียวมาก่อนไม่ได้เพราะเขามีลูกค้าประจำ ยายจึงลองทำขนมชนิดอื่นไปขายบ้าง ลองทำโน่นทำนี่ขายจน วันหนึ่งลูกค้าที่รู้จักกันบอกยายว่าอยากกินขนมปลากริมไข่เต่า แต่ในตลาดไม่มีใครขาย

ยายจึงลองทำปลากริมไข่เต่าดู วันแรกๆ ที่ขาย ยายทำไม่มากนักเพราะกลัวว่าจะขายไม่หมด ปรากฏว่าขายหมดก่อนขนมชนิดอื่น และก็ขายดีมาเรื่อยๆ จนยายต้องจ้างคนในตลาดมาช่วยทำ ไม่นานนักยายก็เลิกทำขนมชนิดอื่น ทำแค่ปลากริมไข่เต่าและครองแครงกะทิ ซึ่งก็ขายดีเช่นกัน ตาและยายจึงมีรายได้มากขึ้น

จนกระทั่งแม่ของพจมานอายุได้ 12-13 ปีตาป่วยหนัก ไปหาหมอที่คลินิกในตลาดก็ไม่ได้บอกว่าป่วยเป็นโรคอะไร จ่ายยาให้ตากินหลายขนาน แต่อาการป่วยของตาก็ไม่ดีขึ้น ซ้ำกลับป่วยหนักลงไปอีก หลังจากนั้นไม่ถึงปีตาก็ตาย

หนึ่งวันก่อนที่ตาจะจากโลกนี้ไปมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น วันนั้นยายเพิ่งกลับจากตลาด กำลังล้างภาชนะใส่ขนมอยู่ในครัว แล้วได้ยินเสียงของตาในห้องนอน ยายจึงเข้าไปดู เห็นตาลุกขึ้นมานั่ง ยกมือขึ้นพนมเหมือนกำลังไหว้ใคร แล้วพูดว่า

“ครับ หลวงพ่อ เดี๋ยวผมตามไปครับ”

ยายได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ สังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุร้าย เพราะรักและสงสารตาจึงรีบเข้าไปบอกตาให้นอนพัก แต่ตากลับเงยหน้ามองไปที่หน้าต่าง ยายจึงมองตามแต่ไม่เห็นใครหรืออะไร กลับได้ยินเหมือนใครกำลังสวดมนต์เบาๆ อยู่ ยายเลยยิ่งตกใจ รีบพนมมือขึ้นนึกอธิษฐานในใจขอให้ตาไม่เป็นอะไร คืนนั้นฝนตกหนักและตกไม่หยุดจนถึงเช้า ตาซึ่งหลับไปตั้งแต่ตอนที่ยายเข้าไปดูในห้องก็ไม่ตื่นอีกเลย

หลังจากที่ตาเสียชีวิตไปไม่นาน แม่ของพจมานเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ เริ่มชอบมองผู้ชาย บางทีก็เอาลิปสติกที่ซื้อจากร้านในตลาดมาทาปาก แล้วออกไปเดินเล่นพูดจาทักทายพวกผู้ชาย แม่ซึ่งเป็นผู้หญิงหน้าตาดีอยู่แล้วจึงมีผู้ชายมาเกี้ยวพาราสีมากมายจนยายทนไม่ได้ ต่อว่าแม่ แม่ก็ไม่ฟัง กลับเตลิดเปิดเปิงหนักเข้าไปอีก หนังสือหนังหาไม่เรียน

วันๆ แม่หายไปไหนยายไม่รู้เพราะตัวเองต้องวุ่นกับการทำหากิน ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำขนม พอขายหมดกลับถึงบ้านยายก็เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไร แม้แต่หุงข้าวกินก็ไม่อยากทำ ไม่อยากกิน แม่กับยายจึงแทบจะไม่ได้คุยหรือเจอกันเลย จนกระทั่งท้องของแม่เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นยายก็รู้ว่าเกิดอะไรกับแม่ ยายโกรธมากลงไม้ลงมือกับแม่ ถามว่าพ่อของเด็กในท้องเป็นใคร แต่แม่กลับไม่พูดอะไร เอาแต่ร้องไห้ปล่อยให้ยายด่าให้ทุบตี แต่ด้วยความรักลูกสาว ยายด่าทอทุบตีแม่อยู่ไม่นานก็หยุด แล้วร้องไห้ วันนั้นแม่ลูกสองคนร้องไห้จนหมดแรงหลับไป

หลังจากที่คลอดพจมานได้ไม่นาน แม่ก็กลับไปมีพฤติกรรมแบบเดิม วันๆ ไม่อยู่บ้าน มักออกไปเล่นไพ่ตามที่ต่างๆ บางทีก็มีคนเห็นแม่ไปไหนมาไหนกับผู้ชายแปลกหน้า ถ้ามีใครมาเล่าให้ยายฟังยายจะบอกว่าไม่ต้องเล่าเพราะไม่อยากรู้ พจมานจึงเติบโตขึ้นด้วยการเลี้ยงดูของยาย ตั้งแต่ยังเล็กยายจะอุ้มเธอไปตลาดด้วยเพราะไม่มีใครช่วยเลี้ยง

แต่ดูเหมือนพจมานจะมีมนต์ขลังอะไรสักอย่าง คนที่ตลาดไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าหรือคนที่มาซื้อของ พอเห็นเธอก็จะชอบ บางคนขออุ้ม บ่อยครั้งที่คนในตลาดที่คุ้นเคยกับยายจะอุ้มเธอหายไปครึ่งค่อนวัน ยายก็ไม่ว่าอะไรเพราะไว้ใจ ขนมที่ยายทำก็ขายดีจนยายต้องจ้างลูกจ้างเพิ่มเพื่อช่วยทำขนม

ยายจึงเชื่อว่าพจมานนำโชคมาให้ พอขายขนมได้ ชีวิตของยายและพจมานก็ไม่อัตคัดฝืดเคืองมากนัก….

ติดตามต่อสัปดาห์หน้า