ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ตุลาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | คนแคระบนบ่ายักษ์ |
เผยแพร่ |
สถาบันนานาชาติเพื่อประชาธิปไตยและการช่วยเหลือส่งเสริมการเลือกตั้ง (IDEA, International Institute for Democracy and Electoral Assistance) ได้กล่าวถึงเป้าหมายและหลักการเหตุผลของการให้อำนาจในการยุบสภาโดยทั่วไป
ได้แก่
1.การยุบสภาในฐานะที่เป็นหนทางในการบังคับวินัยพรรคและสร้างความเข้มแข็งให้กับฝ่ายบริหาร
เมื่ออำนาจยุบสภาอยู่ในวินิจฉัยของนายกรัฐมนตรี ขอบเขตของการใช้อำนาจยุบสภาจะกว้างขวาง การขู่ว่าจะยุบสภาสามารถเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการควบคุมรักษาเสียงข้างมากในสภา
นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจอันไม่จำกัดในการยุบสภา จะไม่สามารถถูกบังคับให้ลาออกโดยการลงมติไม่ไว้วางใจในสภา เพราะนายกรัฐมนตรีจะมีทางเลือกสองทางระหว่าง ลาออก กับ ยุบสภา โดยมีทางเลือกที่จะขออุทธรณ์โดยตรงต่อเสียงประชาชนโดยก้าวข้ามเสียงในสภา
อำนาจในการยุบสภาของนายกรัฐมนตรีในลักษณะนี้อาจจะทำให้สภาต้องพิจารณาให้ดีในการที่จะลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี
เพราะหากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภา และในการเลือกตั้งทั่วไปที่ตามมา ส.ส. อาจจะแพ้การเลือกตั้งได้
ดังนั้น อำนาจยุบสภาที่ไม่จำกัดของนายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่ควบคุมเสียงในสภา ลดทอนการใช้การลงมติไม่ไว้วางใจตามอำเภอใจ และส่งผลอย่างยิ่งต่อสมาชิกสภาที่ยังมีฐานเสียงไม่เข้มแข็ง (backbenchers) ให้อยู่ภายใต้นายกรัฐมนตรี
เพราะสมาชิกสภาที่ยังไม่มีชื่อเสียงคือผู้ที่ยังไม่มีฐานเสียงที่มั่นคงจนมั่นใจได้ว่าหากเกิดการเลือกตั้งแล้ว เขาจะสามารถได้การเลือกตั้งกลับเข้ามาในสภาอีก
2.การยุบสภาในฐานะตัวเร่งกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล
กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลในประชาธิปไตยแบบรัฐสภาผันแปรไปตามแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบและรัฐธรรมนูญที่กำหนดเกี่ยวกับกระบวนการการจัดตั้งรัฐบาลและรัฐธรรมนูญของประเทศนั้นๆ
และขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ อื่นๆ ด้วย เช่น ระบบพรรคการเมือง ระบบเลือกตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมือง
โดยส่วนใหญ่ของประเทศที่ระบบพรรคการเมืองเป็นระบบหลายพรรค การเจรจาต่อรองหลังเลือกตั้งในการจัดตั้งรัฐบาลอาจใช้เวลาเนิ่นนาน นับสัปดาห์จนถึงเป็นเวลาหลายเดือน และก็อาจจะไม่จำเป็นว่าจะจัดตั้งสำเร็จเสมอไปด้วย
ดังนั้น การมีกฎที่กำหนดไว้ว่า จะต้องมีการยุบสภา ถ้าไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ในระยะเวลาที่สมเหตุสมผลจะเป็นแรงจูงใจและแรงขับที่ทำให้การเจรจาระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ มีความประนีประนอมมากขึ้น
ซึ่งอันนี้สามารถกำหนดไว้ในกฎระเบียบหรือรัฐธรรมนูญที่ให้ผู้ที่รักษาการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้คำแนะนำในการยุบสภา หรือกำหนดให้มีการยุบสภาโดยอัตโนมัติก็ได้ หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งได้ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้หรือในช่วงเวลาที่เหมาะสม
โดยปรกติแล้ว รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับที่ผ่านมาล้วนกำหนดระยะเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลไว้ แต่ฉบับปัจจุบันมิได้กำหนด และก็ไม่ได้บอกไว้ว่า หากจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้หรือไม่ได้ตามกำหนดเวลา จะต้องยุบสภา!
ในแง่นี้ จึงมิได้มีการบีบในเงื่อนเวลาว่าจะต้องตั้งให้ได้ภายในกี่วันกี่เดือน และก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่า เมื่อไรที่สภาจะเห็นสมควรเข้าชื่อกันให้ได้เกินครึ่งของสภาเพื่อไปขอวุฒิสภาเปิดประชุมญัตติให้เสนอ “คนนอก”
แต่จะปล่อยให้เป็นไป “ตามธรรมชาติ” ของสภาเอง
3.การยุบสภาในฐานะที่เป็นทางออกจากทางตันที่เกิดขึ้นระหว่างสถาบันทางการเมือง
อำนาจในการยุบสภาอาจจะช่วยการแก้ไขทางตันได้ ทางตันที่ว่านี้ ได้แก่ ทางตันระหว่างรัฐบาลและเสียงข้างมากในสภา อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ด้วยระบบรัฐสภาอยู่ภายใต้หลักการที่ให้ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่สร้างสรรค์ กลมกลืนและใกล้ชิดกัน
หรืออีกนัยหนึ่งคือ ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับเสียงข้างมากในสภา เมื่อความสัมพันธ์นี้มีปัญหารุนแรง การยุบสภาจะช่วยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่า ใครควรจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ-ไม่ว่าจะเป็นการคืนเสียงข้างมากให้กับสภาเพื่อไปสนับสนุนรัฐบาล หรือคืนเสียงข้างมากที่จะไปสนับสนุนรัฐบาลใหม่
ตัวอย่างคือ รัฐบาลอาจจะร้องขอการยุบสภา ถ้านโยบายสำคัญใดนโยบายหนึ่งหรือการริเริ่มเสนอกฎหมายถูกปฏิเสธจากสภา
4.การยุบสภาในฐานะที่เป็นหนทางในการสนับสนุนอำนาจที่ได้รับความนิยมจากประชาชนของรัฐบาล
เมื่อเสียงข้างมากในสภาของรัฐบาลเริ่มมีปัญหา เช่น การหันเหของสมาชิกของพรรครัฐบาลไปยังฝ่ายค้าน หรือการสูญเสียที่นั่งในการเลือกตั้งซ่อม หรือเมื่อความนิยมหรือเสียงสนับสนุนจากสาธารณะถูกตั้งข้อสงสัย
เช่น หลังจากมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นใหญ่หรือวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลอาจจะต้องการได้รับการยืนยันความชอบธรรมของตนจากเสียงสนับสนุนการยอมรับจากประชาชนโดยการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้ง
แต่ในกรณีนี้ ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สุ่มเสี่ยง
เพราะรัฐบาลที่อยู่ในอำนาจอาจจะแพ้การเลือกตั้งและจำต้องออกจากตำแหน่งไป
อย่างไรก็ตาม การยุบสภาจะเป็นหนทางที่มีประสิทธิภาพและมีความชัดเจนในการหยั่งเสียงความไว้วางใจของประชาชนต่อรัฐบาล
และหากรัฐบาลชนะเลือกตั้ง ก็จะทำให้มีความเข้มแข็งกลับคืนมา
5.การยุบสภาเพื่อได้อาณัติจากประชาชนหลังการเปลี่ยนรัฐบาล
ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา บางครั้ง มีการเปลี่ยนรัฐบาลโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งทั่วไปใหม่
เช่น รัฐบาลผสมแตกตัวและมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นใหม่ หรือถ้าพรรคเสียงข้างมากเปลี่ยนผู้นำโดยการเลือกตั้งผู้นำใหม่ภายในพรรค อันส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
ในกรณีเหล่านี้ รัฐบาลใหม่อาจจะยุบสภาเพื่อหวังว่าจะชนะการเลือกตั้งทั่วไป
และได้รับอาณัติการยอมรับที่ชัดเจนจากประชาชน
6.การยุบสภาในฐานะที่เป็นหนทางที่จะหยั่งเสียงประชาชนต่อประเด็นสำคัญ
บางครั้ง รัฐบาลจำเป็นต้องตัดสินใจต่อนโยบายที่สำคัญที่อาจจะเบี่ยงเบนไปจากที่เคยประกาศไว้หรือมีความจำเป็นต้องสนองตอบต่อปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นที่มีข้อถกเถียงกันมาก อันเป็นประเด็นที่ไม่ได้คาดถึงไว้ในช่วงการหาเสียงก่อนหน้า
ในกรณีเหล่านี้ เพื่อความชอบธรรมของรัฐบาล รัฐบาลอาจจะตัดสินใจถึงความจำเป็นที่จะต้องให้สาธารณะเป็นผู้ตัดสินใจออกมาอย่างชัดเจนว่าสังคมต้องการไปในทิศทางใด และการจะได้มาซึ่งเสียงรับรองจากสาธารณะคือการยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ขึ้น
เมื่อมีการใช้การยุบสภาด้วยเป้าหมายที่ว่านี้ การยุบสภาจะถูกใช้ไปในลักษณะที่คล้ายกับการหยั่งเสียงประชามติ แต่เป็นการหยั่งเสียงประชามติอย่างหยาบและไม่ชัดเจนและสุ่มเสี่ยง
ทั้งนี้ ที่ว่าหยาบเพราะในการเลือกตั้งมีประเด็นต่างๆ หลากหลายในการหาเสียง ในขณะที่ถ้าเป็นการทำประชามติ ก็จะมีความชัดเจนไปเลยในประเด็นเฉพาะที่ต้องการฟังเสียงประชาชน
และที่ว่าเสี่ยงก็เพราะจากจุดยืนของรัฐบาลที่ต้องการหยั่งเสียงในประเด็นหรือนโยบายเฉพาะ การเลือกตั้งอาจจะส่งผลให้รัฐบาลนั้นต้องพ้นจากตำแหน่งไปเลย ในขณะที่หากแพ้ประชามติ ก็มิได้จำเป็นว่าพรรครัฐบาลทั้งพรรคจะต้องพ้นไป อาจจะเป็นเพียงการเปลี่ยนตัวผู้นำเท่านั้น
ดังนั้น การทำประชามติโดยตรงไปเลยจึงเป็นที่นิยมมากกว่าจะยุบสภา
7.การยุบสภาในฐานะที่เป็นหนทางที่จะเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมและได้เปรียบในการเลือกตั้ง
ก่อนสภาครบวาระ อำนาจการตัดสินใจในการยุบสภาทำให้สามารถเลือกกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมและได้เปรียบที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปสำหรับผู้มีอำนาจในการยุบสภา
แต่ก็เป็นไปได้ว่า รัฐบาลอาจจะคาดการณ์เสียงประชาชนผิดจังหวะด้วยก็ได้ และอาจจะแพ้การเลือกตั้ง
เงื่อนไขล่าสุดนี้ คือเงื่อนไขที่นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ตัดสินใจยุบสภาเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา หลังจากที่เป็นรัฐบาลมา 3 ปี จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี ค.ศ.2014