หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๔๐)/บทความพิเศษ ฟ้า พูลวรลักษณ์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ

ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๔๐)

 

ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าในปี 2093 ที่ตัวฉันอายุ ๑๔๐ ปี มนุษย์จะเป็นยังไงนะ มนุษย์จะทำอะไรอยู่

ทุกสิ่งขึ้นกับการเลือกของมนุษย์ เช่น หากมียานอวกาศของมนุษย์เดินทางไปในอวกาศ มันจะปกครองกันยังไง ภายในลำเรือ จะเป็นแบบทหาร ที่มีระเบียบวินัยเคร่งขรัด หรือจะเป็นแบบประชาธิปไตย ที่เต็มไปด้วยการเสนอ แบ่งปันความคิดเห็น การแชร์กัน

ในห้วงกาลเวลาอันยาวนานในการเดินทาง ในอันตรายรอบด้าน คุณคิดว่ามนุษย์จะเลือกทางไหน หรือถามอีกที สิ่งไหนจะเหมาะกับมนุษย์ในสถานการณ์แบบนั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา นักอวกาศที่มนุษย์ส่งขึ้นไป ล้วนเป็นนักบิน นักปฏิบัติ เป็นคนตื้นเขิน ที่พร้อมจะรับฟังคำสั่ง และปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างเคร่งครัด ซึ่งก็เหมาะสมกับหน้าที่ของพวกเขา

แม้นักปราชญ์ นักคิดเหล่านั้น น่าส่งขึ้นไปมาก

แต่กระนั้น มันก็ยังเป็นรองนักบิน ที่พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่ง คนมีวินัย คนที่เชื่อถือได้ คนที่ปฏิบัติตามคำสั่งของศูนย์ควบคุมบนโลก

เราต้องการปฏิบัติการเหล่านั้นให้สำเร็จ

เดินทางไปถึง ทำได้ และกลับมาได้

ซึ่งก็คือนักบินที่เชื่อฟังเหล่านั้นนั่นเอง

นักคิด นักปราชญ์เหล่านั้นน่าสนใจปานไหน ก็ยังไม่ได้ priority พวกเขาต้องรอก่อน รอจนวันหนึ่งมนุษย์พร้อม พร้อมที่จะหาข้อมูลแบบอื่น

 

ชาวโลก ทุกวันนี้คือชีวิตที่ครอบครองสิ่งของมากมาย เราจึงเป็นวัตถุนิยม แต่ในอวกาศ เราไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย มีเพียงแต่ตัวเรากับยานอวกาศ กับความเวิ้งว้างของจักรวาล บวกกับกาลเวลาอันยาวนานในการเดินทาง

คุณจะเป็นวัตถุนิยมต่อไปได้หรือ คุณจะยึดครองอะไร หรือคุณจะกลับมาเป็นจิตนิยม แปลกไหม ในวันที่เทคโนโลยีของคุณล้ำที่สุด คุณกลับเป็นจิตนิยม เปลี่ยนเพราะบัดนี้เหลือแต่ตัวคุณกับจักรวาล

การเดินทางเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ

เป็นร้อยปี พันปี หมื่นปี

จิตของมนุษย์จะทนได้หรือ ฉันว่าไม่น่าจะได้ จิตมนุษย์ต้องปรับตัว ต้องเปลี่ยน แต่จะเปลี่ยนไปทางไหนหรือ

ความคิดของมนุษย์มีหลากหลาย

ละเอียดอ่อน

แปลก

ชั่วร้าย

น่าสะพรึงกลัว

เราไม่อาจกำหนดให้ความคิดของมนุษย์ไปในทิศทางใดทิศหนึ่ง มันขึ้นกับเหตุการณ์ และตัวมนุษยชาติเองจะเป็นผู้เลือก หากพวกเขาเลือกความชั่วร้าย มันก็ชั่วร้าย หากเลือกความน่าสะพรึงกลัว มันก็ต้องน่าสะพรึงกลัว

เหมือนหนังที่เราสร้าง จะเป็นแบบไหน ขึ้นกับเราที่เป็นผู้สร้าง

 

ทางช้างเผือกนี้เป็นเพียงวังน้ำวน มันมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 200 ปีแสง

แต่มันหมุนช้ามาก

หนึ่งรอบ กินเวลา 250 ล้านปี

วังน้ำวนที่หมุนไปเรื่อยๆ จะบอกว่าช้าหรือเร็ว ขึ้นกับว่า มองจากอะไร เพราะความช้าเร็วเป็นเพียงค่าสัมพัทธ์

แต่ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ เพราะทางช้างเผือกนี้ ต่อให้มองแบบน้อยที่สุด ก็มีสี่มิติ

และในสี่มิตินี้ ซึ่งกำลังหมุนไปเรื่อยอย่างวังน้ำวน สิ่งต่อไปนี้เปลี่ยนความหมาย

อิสรภาพ

ภาวะเปิด

ความลึกซึ้ง

นิรันดร์กาล

มันค่อยๆ เปลี่ยนความหมายไป ในวังน้ำวน สี่มิติ

สมมุติว่าไม่มีวิทยาศาสตร์ จิตมนุษย์จะท่องไปในสามโลก คือไปนรก สวรรค์ และโลกนี้

จิตมนุษย์ยังจะสามารถท่องไปในพรมโลก ไปดินแดนหิมพานต์ เราจะเข้าไปในวังพญานาค ไปสู่วิมานคนธรรพ์

๑๐

ฉันตั้งใจจะบอกว่าจิตมนุษย์จะมีดินแดนให้ท่องไปเสมอ

แต่ทว่า ที่แปลกก็คือ แม้จะมีวิทยาศาสตร์ ฉันก็ยังเจอคนมากมายที่ท่องอยู่ในโลกที่ไม่มีวิทยาศาสตร์ เหมือนหนึ่งกับว่า พวกเขาตกค้างอยู่ ผิดร่อง ผิดทาง ไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่างไร

สำหรับฉัน มันไปด้วยกันไม่ได้ เวลามีคนมาพูดถึงวังพญานาค จิตของฉันคิดไม่ออกเลย

ยกเว้นแต่ว่า โลกนี้ไม่มีวิทยาศาสตร์ ฉันก็จะเห็นด้วย

๑๑

มันเป็นสองพรมแดนที่แตกต่างกัน

หากเขียนเป็นนิยาย นี้คือทวิภพ ที่ไปมาหาสู่กันไม่ได้

คนที่มุดไปมาได้ นี้คือความแปลก

สมองของฉันเต็มแล้ว

ฉันมุดไปมาไม่ได้

 

๑๒

หนึ่งชั่วอายุของฉัน มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย คนที่เกิดทีหลังอาจไม่รู้สึก พวกเขาเกิดขึ้นมาพร้อมกับความรู้ DNA และรู้สึกว่า สิ่งนี้มีมาคู่กับโลก ที่จริงมันเพิ่งถูกค้นพบในปีที่ฉันเกิด คือ 1953 ไม่นานเท่าไรมานี่เอง มองไปในอนาคต หากคิดถึงสิบชั่วอายุคนของฉัน หรือมีฉันสิบคนต่อกัน ไม่รู้ว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไร นี้คือความน่าตื่นเต้นของวิทยาศาสตร์

๑๓

แต่วังพญานาคจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่สมัยพุทธกาล มันแน่นิ่ง เหมือนถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง พญานาคก็ไม่ผิดกับกุ้งแช่แข็ง

๑๔

หากไม่มีวิทยาศาสตร์ จิตของฉันก็จะต้องท่องไปในนรก สวรรค์ มันจะต้องท่องไปในพรมโลก ทั้งนี้เพราะจิตมนุษย์หยุดนิ่งไม่ได้ มันต้องเคลื่อนไหว ซอกซอน นี้เป็นธรรมชาติที่แปลกประหลาดของจิต

๑๕

หากกักขังฉันไว้ในคุก ไม่ให้ฉันรับข้อมูลใด และหากฉันมีสุขภาพดี จิตของฉันก็จะชอนไชอุโมงค์รอบกายฉัน

เจาะทะลุทะลวงไปเรื่อย

เหมือนตัวหนอน