‘ฟีเวอร์’ กับ ‘เหวอ’ เส้นแบ่งสวรรค์กับนรก/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

‘ฟีเวอร์’ กับ ‘เหวอ’

เส้นแบ่งสวรรค์กับนรก

บีบีซีนิวส์ไทยรายงานเมื่อ 23 ตุลาคม 2561 …ทีมนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยสมอง ของเอ็มไอทีและคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า ลักษณะพิเศษของใยประสาทส่วนเดนไดรต์ (Dendrite) ทำให้สมองมนุษย์มีพลังในการคิดวิเคราะห์เหนือกว่าสัตว์ชนิดอื่นหลายเท่าตัว

คล้ายกับมีคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วทำงานร่วมกันโดยเชื่อมต่อกันกว่า 1 แสนล้านเครื่อง!

“เดนไดรต์”เป็นแขนงประสาทที่นำสัญญาณไฟฟ้าจากเซลล์อื่นๆ เข้าสู่ตัวเซลล์ประสาทสมอง

เซลล์ประสาทสมองคนเรามีราว 1 แสนล้านเซลล์

แต่ละเซลล์ก็จะมีใยประสาทส่วน “เดนไดรต์” ประมาณ 50 แขนง

เอา 1 แสนล้าน (เซลล์) x 50 แขนง (เดนไดรต์) ได้เป็น “ความปกติ” ของสมองมนุษย์

ถ้า “84,000” ต้องนับว่ามหัศจรรย์!

 

“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” เป็น “ความปกติ” ที่คนเป็น “ผู้นำ” ควรจะมี

คนทุกคนอาจมี “อัตตา” แต่คนที่ฉลาดจะไม่หลงตัวเอง

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา ในการอบรมข้าราชการ กทม.รุ่นใหม่ “ชัชชาติ” ผู้ว่าฯ กทม.ให้โอวาทว่า

“พอมีประสบการณ์มากขึ้นเราจะมีความมั่นใจพุ่งกระฉูด ทำให้หยุดเรียนรู้ต่อเพราะคิดว่าตัวเองเจ๋งแล้ว รู้น้อยแต่มั่นใจเยอะ คนที่มีตำแหน่งสูงหลายคนค้างอยู่บนภูเขาแห่งความโง่เขลา ผมอยู่ตรงนี้ ยอมรับว่าตัวเองยังโง่ในหลายๆ เรื่อง” พร้อมกันนั้นท่านผู้ว่าฯ ก็แนะว่าให้ข้าราชการ กทม.บรรจุใหม่กล้าที่จะเรียนรู้ คิดนอกกรอบ เลิกวัฒนธรรม “ดีครับนาย-ได้ครับพี่”

ท่าทียอมรับใน “ความไม่รู้” เป็นประตูเปิดไปสู่ความรู้

ตรงข้ามกับท่าที “หลงตัวเอง” ที่เท่ากับปิดประตูขังตัวเองให้จมอยู่กับความป่วยไข้

“หลงตัวเอง” เป็นอาการป่วยไข้ที่ซ่อนเร้นอำพรางรักษายาก คนป่วยมักทะเยอทะยานเอามากๆ จะมีท่าทางโอ้อวดอหังการ ต้องการแต่คำชื่นชมสอพลอเอาใจ

ต้องนับว่าโชคดีที่ข้าราชการ กทม.บรรจุใหม่รุ่นนี้ได้รับฟังทัศนคติของผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งของคน กทม.

 

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนเช่นเดียวกัน

ในงานปัจฉิมกถา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

“ชัชชาติ” ผู้ว่าฯ กทม.ไปกล่าวเอาไว้ในตอนหนึ่งว่า “ผมมาอยู่ตรงนี้ได้เพราะประชาธิปไตย การเมืองไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ประชาธิปไตยในอนาคตเป็นเรื่องของความรู้ความสามารถและเทคโนโลยี ความสวยงามของประชาธิปไตยคือไม่มีใครมาสั่งได้ อนาคตจะเข้มแข็งขึ้น เทคโนโลยีจะชนะ ความโปร่งใสจะเข้ามาด้วยเทคโนโลยี”

ถัดจากนั้นไม่กี่วัน “ชัชชาติ” ก็ลงมือทำด้วยการเปิดงบประมาณของ 50 เขตของ กทม.ให้เห็นจะจะในโลกโซเชียล

สายอนุรักษนิยมจำนวนไม่น้อยตาร้อนผ่าว ตั้งคำถามว่า “ไลฟ์ทำไมนักหนาวะ”!

“ชัชชาติ” มีคำตอบ

“ผมคิดว่าไลฟ์นี่มันเลือกได้นะ ว่าจะดูหรือไม่ดูมันก็ได้ ไม่เหมือนโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ที่ทุกช่องต้องฉายเหมือนกันหมด ไลฟ์คือวิธีที่เราสื่อสารกับคน แสดงให้เห็นว่า เงินภาษีถูกใช้จ่ายยังไง”

ในความหมายที่ไม่ได้วงเล็บเอาไว้ก็คือ หลังจากเปิดเผยโปร่งใสให้ตรวจสอบได้ ต่อไปผู้คนก็จะยินดีจ่ายภาษีให้ กทม.นำไปพัฒนาเมือง

เทียบได้กับระดับ “รัฐ”

ถ้าจะมีความต่างก็จะ “ต่างที่มา”

ถ้ามี “ที่มา” ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย รัฐจะ “เห็นหัวประชาชน” ต่างกับรัฐที่มาจากการฉ้อฉล ปล้นชิงหรือแต่งตั้ง

ผู้นำรัฐคนหนึ่ง อาจมองเห็นวิธีการและทางออก

แต่ผู้นำอีกคน อาจมองเห็นแต่ “ทางตัน” กับวิธี “กำปั้นทุบดิน”!

คนหนึ่ง เปลี่ยนทุกอย่างได้ด้วยมุมมองและลงมือ

ต่างกับอีกคนที่ได้แต่ “แก้ตัว” โยนความชั่ว ป้ายความผิดให้ผู้อื่น

จึงมีปรากฏการณ์ทาง “พฤติกรรม” ซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น แทนที่ผู้นำจะชี้ทางบรรเทาทุกข์ กลับฟิวส์ขาด ผรุสวาท ขาดวุฒิภาวะ

บางคนถึงกับเปรียบเทียบว่า “เอาคนเผาวัดมาเป็นเจ้าอาวาสได้ยังไง”

 

ถ้าย้อนนึกกลับไป การเมืองไทยค่อยๆ ไหลลงที่ต่ำมาตั้งแต่ปี 2549

เด็กที่เกิดในปีนั้น วันนี้อายุ 16 เป็นคน “Gen-Z” เหมือนมีบาดแผลตั้งแต่เกิด

ลืมตาดูโลกในยามที่ประเทศมีรัฐประหาร

หลังจากปี 2549 เพียง 8 ปี มีรัฐประหารซ้ำอีก

วันนี้คน Gen-Z อายุ 16 เจอรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง

วัฒนธรรมทางการเมืองที่ชั่วร้ายครอบงำราชอาณาจักรไทยสวนทางกับโลกยุคไร้พรมแดน การเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่งหรือจากคณะหนึ่งไปสู่คณะหนึ่งเป็นไปด้วยกำลังและอาวุธ

กล่าวในทางนิติธรรม คือการปล้นชิงชนิดหนึ่ง!

ดังนี้ แทนที่สภาพแวดล้อมทางการเมืองและสังคมจะเกื้อกูลเป็นประโยชน์ เป็น “โอกาส” ให้กับคนรุ่นใหม่ Gen-Y Gen-Z ซึ่งถ้าเอาคน 2 Gen นี้มารวมกันแล้วจำนวนประชากรจะมีมากกว่าเบบี้บูมถึง 2 เท่า สภาพแวดล้อมกลับกลายเป็น “อุปสรรค”

เมื่อแสดงออกทางการเมืองเรียกร้องทวงถามก็ถูกกดบีบให้อยู่ภายใต้ “ความกลัว”

ในด้านเศรษฐกิจก็โงหัวไม่ขึ้น สภาพัฒน์รายงานว่าในรอบ 10 ปีมานี้ไทยมีเหลื่อมล้ำสูงลิ่ว รวยกระจุก จนกระจาย “รวยกับจน” ห่างกันสูงสุด 20 เท่า คนจนมีโอกาสเรียนต่อ ป.ตรีแค่ 3% ส่วนคนรวยมีโอกาสเรียนต่อ 65.6%

ที่เคยได้ยินรัฐประกาศเมื่อปี 2559 ว่า “คนจนจะหมดประเทศ” นั้นคงจะฟังผิด!

ที่ถูกคือวันนี้ “จนกันหมดประเทศ”

 

ไม่มีแนวคิดและแนวทางจากรัฐราชการที่ประพฤติตนเป็นใหญ่ เป็นนาย ไม่ใช่ผู้รับใช้ พูดอะไรออกไปประชาชนต้องตั้งใจ “รับฟัง” และปฏิบัติตามอย่างเชื่องๆ ไม่ต้องถาม ห้ามเถียง ทั้งยังไม่ต้องแคร์ไม่สน ไม่เปิดเผย ไม่โปร่งใส ไม่เปิดโอกาสให้ตรวจสอบ ไม่ต้องบอกกล่าวรายงาน ราวกับว่าเป็นเจ้าของประเทศแต่เพียงผู้เดียว

ถามว่า ความล้มเหลวและล้าหลังทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นมันเกี่ยวอะไรกับ “การประชาสัมพันธ์” เก่งหรือไม่เก่ง

เหตุอันเป็น “ปัจจัยพื้นฐาน” มาจาก “สมอง” กับ “อุปนิสัย”

ผู้นำ 1 จึงฟีเวอร์

ส่วนอีก 1 ผู้นำเป็น “ตัวประหลาด”!?!!!