วัชระ แวววุฒินันท์ : American Made

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ

ฉบับที่แล้วผมเขียนถึงหนังไทยไป เรื่อง “เพื่อน…ที่ระลึก”

ฉบับนี้ขอเขียนถึงหนังฝรั่งบ้างนะครับ ชื่อเรื่อง “American Made”

American Made ที่ผมเขียนถึง ไม่รู้ตอนนี้จะมีโรงฉายอยู่ไหม เพราะเข้ามาสักพักแล้ว ถ้าใครสนใจอยากชมก็ลองเสาะหาดูนะครับ

American Made ชื่อนี้แปลว่า “อเมริกาทำ” ตรงตัวดี และเนื้อหาในเรื่องก็บ่งบอกอย่างนั้นจริงๆ ว่า ที่เราเห็นๆ ถึงความวุ่นวายต่างๆ ในโลกโดยเฉพาะการทำสงครามตัวแทนนั้น มีอเมริกาเป็น “คนทำ” ขึ้นเกือบทั้งนั้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับฯ โดย Doug Liman ทำมาจากเรื่องราวในชีวิตจริงของ Barry Seal นักบินของสายการบิน TWA ที่จับพลัดจับผลูมาได้ร่วมงานกับ CIA จนถลำตัวถึงขั้นเลยตามเลยกับเรื่องต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาแบบโกลาหลเลยทีเดียวเชียว

ในโปสเตอร์ โปรยคำที่ใต้ชื่อหนังเขียนไว้ว่า Base on A True Lie

ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเหตุการณ์ในหนังมันเหมือนเรื่องโกหกระดับชาติ แต่เป็นเรื่องจริง ให้เราได้หัวเราะขื่นๆ กับมันตลอดเรื่อง

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของนาย Barry Seal ที่ใช้โอกาสในการบินข้ามฟ้าตามหน้าที่นักบิน TWA แอบเอาสินค้าหนีภาษีจากนอกประเทศเข้ามาขายในอเมริกา สร้างรายได้เพิ่มให้ไม่น้อย

เมื่อเจ้าหน้าที่ CIA ชื่อเชฟเฟอร์ ตามสืบเรื่องนี้ และมองเห็นความสามารถและวิธีคิดของ Seal จึงได้เสนอให้เขาเปลี่ยนงานมาทำงานลับให้กับ CIA แทน โดยตั้งบริษัทเครื่องบินส่วนตัวให้บังหน้าเพื่อที่เขาจะได้บินไปไหนตามที่ CIA ต้องการได้

และคนโลภอย่าง Seal ก็คว้าโอกาสนั้นทันที

งานของเขาเสี่ยงภัยไม่น้อย เมื่อเขาได้รับภารกิจให้บินไปแอบถ่ายภาพสถานที่ตั้งของผู้ก่อการร้าย หรือจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ในประเทศแถบอเมริกากลาง และนำมาส่งให้กับ CIA ซึ่งตอนนั้นสหรัฐกำลังฮึ่มๆ กับรัสเซียอยู่

เมื่อเขาถูกจับได้ ก็ได้รับการว่าจ้างซ้อนจากผู้ค้ายา ให้ช่วยขนโคเคนกลับมาส่งที่อเมริกาให้ด้วย เท่ากับว่า เขาทำงาน 2 จ๊อบในเที่ยวเดียว ขาไปรับเงินจาก CIA ขากลับรับเงินจากพ่อค้ายาข้ามชาติ

ทำให้เขาเริ่มมีเงินไหลเข้ามาในชีวิตแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เปลี่ยนชีวิตให้กลายเป็นเศรษฐีย่อยๆ ขึ้นมา แต่ยังต้องปกปิดเมียไม่ให้รู้

CIA จับได้ว่าเขาทำ 2 จ๊อบ แต่ก็เห็นช่องทางที่เขาเข้าถึงพวกกลุ่มค้ายา ซึ่งแน่นอนที่ต้องพัวพันกับการค้าอาวุธ ให้เขาบินส่งปืนไปให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายที่อเมริกาสนับสนุนอยู่ลับๆ เพื่อทำสงครามตัวแทน

เรื่องนี้เข้าขั้น High Risk High Return

เมื่อเขาต้องเล่นกับความเสี่ยงสูงเช่นนี้ สิ่งที่ตามมาคือ เงิน เงิน เงิน และ เงิน

 

ในหนังคุณจะได้เห็นภาพธนบัตรจำนวนมากที่เขามี อัดแน่นอยู่ในกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่

เรียงซ้อนกันอยู่ในที่ต่างๆ ของบ้านหลังใหญ่ ล้นถึงต้องไปขุดหลุมซ่อนในที่ดินรอบบ้านก็มี และเป็นตลกร้ายอย่างมาก เมื่อม้าที่เลี้ยงไว้ไม่มีที่จะอยู่ เพราะในโรงเลี้ยงม้าถูกแทนที่ด้วยธนบัตรจำนวนมาก

ธนาคารดูแลเขาเป็นลูกค้าคนพิเศษสุด เพราะยอดเงินฝากที่เขาหิ้วกระเป๋าใส่เงินสดมาฝากอยู่เป็นประจำมากกว่ารายได้ของคนในเมืองเล็กๆ ที่เขาอาศัยอยู่

ที่น่าสนใจคือ แนวทางการนำเสนอของหนัง ที่ทำคล้ายกับหนังสารคดี มีการถ่ายทำให้ภาพและสีออกมาเหมือนกับภาพจากฟิล์มในยุคเก่า การตัดต่อเดินเรื่องฉับไว ไม่น่าเบื่อเหมือนความรู้สึกเวลานึกถึงหนังแนวสารคดีทั่วไป และทำได้สนุกกว่าที่คิดมาก ลุ้น และชวนติดตามว่า ตัวเอกจะเอาตัวรอดยังไง

และด้วยความที่อิงจากประวัติของคนมีชีวิตจริง จึงได้เห็นบริบทของสังคม และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาของหนังด้วย เช่น การแต่งกาย เพลง บ้านเรือน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ และบริบทของการเมืองที่ยิ่งตอกย้ำความเป็น “มือถือสาก ปากถือศีล” ของอเมริกาได้ดี

 

Tom Cruise เป็นดาราระดับบิ๊กเนมคนเดียวของเรื่องนี้ จะมีอีกคนที่รับบทเจ้าหน้าที่ CIA ที่ชื่อเชฟเฟอร์ ก็เป็นนักแสดงที่แสดงเรื่องดังๆ มาแล้วหลายเรื่อง เช่น Harry Potter, About Time, Mother ชื่อว่า Domhnall Gleeson แต่นักดูหนังบ้านเราอาจจะไม่คุ้นเคยนัก

Tom Cruise แสดงเรื่องนี้ได้สนุก มีชีวิตชีวา ลื่นไหลได้อย่างดี ลืมบท Action ที่เขาเคยเล่นไปชั่วขณะ เขาเล่นเป็นคนชอบความเสี่ยง และท้าทายชีวิต คิดและวางแผนตลอดเวลา และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ยอดเยี่ยม และดูเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งดี

แต่สุดท้ายไฟที่เขาเล่นก็ย้อนกลับมาเล่นงานเขาเอง

ฉากท้ายๆ ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจากหลายหน่วยงาน มารุมล้อมจับเขาและพวกโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างฝ่ายก็มาจ๊ะเอ๋กันและพยายามเอาตัวเขาเป็นผลงาน

ก็ออกแนวตลกร้ายได้สนุกไม่น้อย

 

แต่โดนเข้าขนาดนี้ เชื่อไหมว่า Seal รอด

นั่นแสดงถึงตื้นลึกหนาบางที่เขามีอยู่กับคนใหญ่ระดับประเทศ คือ ประธานาธิบดีเลยทีเดียว

ก็เลยทำให้รู้ว่า อเมริกาที่เที่ยวว่าคนนั้นคนนี้ ทุกอย่างก็มาจากผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องในทำเนียบขาวทั้งสิ้น ทำได้ทุกอย่างแม้ว่าจะเป็นละครตบตาชาวโลกและคนในประเทศแค่ไหนก็ตาม

เมื่อดูแล้ว ก็ต้องชื่นชมวัฒนธรรมของเขาที่เปิดกว้างให้สื่อสามารถตีแผ่เรื่องราวจริงๆ ของคนใหญ่คนโตระดับประเทศ และเหตุการณ์ลับๆ ของรัฐบาลได้ ชื่นชมที่เขาให้สิทธิ์ในการนำเสนอแม้จะพาดพิงไปถึงคนระดับผู้นำก็

นี่ถ้าเมืองไทยสามารถทำอะไรอย่างนี้ได้บ้าง สักครึ่งหนึ่งของเขาก็ยังดี เราคงจะได้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่หลายๆ เรื่องในประเทศนี้ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเรือเหาะ รถถัง เรือดำน้ำ เรื่องโกงจำนำข้าว เรื่องคนติดคดีชิ่งหนีได้ทัน เป็นต้น

ไม่รู้จะมากไปไหม ถ้าจะฝันให้มีหนัง “Thailand Made” ขึ้นมาบ้าง

คงเป็นหนังตลกร้ายแห่งปี ที่เดินสายกวาดทั้งรางวัล และกวาดทั้งข้อหามาเชยชมแน่นอน

ใครอยากดูบ้าง ยกมือขึ้น…แฮ่ม