การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ – เพียงหนึ่งเดียวที่อยู่กับฉัน

นิ่งงัน ดั่งใครขึงผ้าขาวอยู่ในหัวฉันอยู่ ภายใต้การรับรู้และทั้งที่ไม่อยากจดจำ มันยังคงหลั่งไหลเข้ามา ทุกๆ ความทรงจำ

หากแต่ละความทรงจำ เหมือนการป้ายแปรงสีลงที่ผ้าขาว ครั้งแล้วครั้งเล่า ทบซ้อนหนาเตอะเหนอะหนะ ทว่า…แล้วมันก็ล่องหนหายไป ไม่มีใครมองเห็นสีที่ซ้อนสี สิ่งที่มีเพียงฉันจะรู้ได้ เพราะไม่มีใครมองเห็นมัน

ไม่อาจมองเห็นมัน

มีเพียงแค่ฉัน ที่เห็นการซ่านซึมของความเปียกชื้นเหล่านั้น

สีสันของความเจ็บปวด

เลือดที่ไหลนอง

สีที่เนืองนองกระฉอกกระเพื่อม แล้วพลันแห้งวับลับหาย

กลายเป็นเพียงผ้าสีขาวผืนหนึ่ง ซึ่งดูบริสุทธิ์เหลือเกิน

ในหัวของฉันกำลังมีภาพเช่นนั้นอยู่ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้เลยสักคนจริงๆ

“อีพี่!”

เสียงของรอยกระแทกเข้าหูมา และนั่นเองที่พาให้ผ้าขาวสะบัดอีกฝึบหนึ่ง ก่อนจะสูญหายไป

“อีพี่!”

“…” ฉันเบือนหน้าหา เพียงแค่ว่า จะพยายามฟังดู

และฉันรู้แล้วว่า ถ้ารอยพูดอะไรออกมา ไม่ว่าจะพูดอะไร หากรอยพูดจบแล้ว ฉันควรจะพูดอะไรออกไปอีกบ้าง

แต่พี่ฝนก็เข้ามาในจังหวะนั้นเอง

“…พวกมึง!”

 

ใบหน้าของพี่ฝน ดูเครียดขมึงอยู่ในแสงไฟกลม ร่างยืนเด่นหน้าประตู จันทร์ภายนอกคงยังหรุบหรู่ และตัวฉันก็อยู่ในอ้อมแขนของอ้ายหมารอย

“…พวกมึงทำอะไรกัน” พี่ฝนปากสั่น

นั่นเพราะความโกรธหรืออะไร ฉันไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่ได้อยากแยกแยะมัน

“ถ้าอีโฟมาเห็นมันจะว่ายังไง”

“…จะว่าอะไรเล่า!” รอยสวนคำขึ้นทันที “มึงแหละ มีปัญหาอะไรมั้ย!”

ฉันตื่นออกจากภวังค์จริงๆ ในหนนั้น

“รอย อย่า!” ทำไมฉันจะไม่รู้ว่า ถ้ารอยโกรธแล้วจะเป็นยังไง

แต่พี่ฝนยังคงเดินเข้ามาใกล้

“พวกมึงทำผิดผีแบบนี้ ถ้าอีโฟมีอันเป็นไป ยิ่งมันกำลังท้องกำลังไส้ บาปกรรมจะขบหัวพวกมึงแน่”

“หยุดปากบะเด่วนี้เลย!” รอยผุดลุกขึ้นทันที “กูไม่ได้เยียะอะไรสักอย่าง จะเยียะเพราะปากมึงนั่นแหละ!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ฉันตะโกนออกไปจนสุดเสียง ซึ่งนั่นได้ผล

ทั้งสองคนหยุดชะงัก

อ้ายหมารอยกำลังจะพุ่งไปข้างหน้า ส่วนพี่ฝนก็กำหมัดรอท่าอยู่

“ฉันไม่ได้ทำอะไร พี่ไม่ต้องห่วงหรอก” พูดแล้วก็กลืนน้ำลาย “รอย…คืนนี้กูจะไปนอนกับพี่ฝนก็แล้วกัน”

“อีพี่” รอยเหลียวมาจ้องตาฉัน

สายตานั้นบ่งความแคลงใจชัดแจ้ง

“มึงก็ไม่ไว้ใจกูหรือ มึงคิดว่ากูจะทำอะไรมึงหรือ…”

“ไม่ได้คิดยังงั้น” ฉันตอบไปตามความรู้สึกจริงๆ “แต่ว่า…เราอยู่ห่างๆ กันดีกว่า”

“ทำไม? อีพี่”

ฉันไม่ตอบคำถามรอยอีก

“กูเป็นคนช่วยมึงมานะ!” รอยเสียงหนักขึ้นมา “ถ้ามึงไม่เจอกู ป่านนี้ตกน้ำตายไปแล้วก็ได้!”

“ก็กูตั้งใจจะตายไง” ฉันพูดช้าๆ สบตากับอดีตเพื่อนในวัยเยาว์

เราเคยตายจากกันไปแล้วครั้งหนึ่ง หนนี้ บางที อาจจะมีแค่ซากศพที่พบกัน

“มึงไปเสียเถอะ”

“นี่มึงไล่กูเหรอ!”

ตั้งแต่พาฉันกลับมา รอยก็เข้ามาอยู่ด้วยทุกคืน ดูเหมือนพี่โฟจะเคยถามเรื่องที่พักอาศัย แต่รอยไม่เคยตอบชัดเจนสักครั้ง

ทุกคนรับรู้เพียงว่า รอยมีงานทำ เป็นยามหรือคนสวน หรืออะไรสักอย่าง ในสถานที่สักแห่ง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าคือที่ไหน ตัวฉันเองก็ไม่เคยซักถามมากไป ยิ่งเมื่อรู้ว่า…รอยอาจมีปัญหาบางอย่างติดตัว

มีพี่ฝนที่เคยเปรยๆ ว่า ขาเป๋อย่างมันทำงานเป็นยามได้อย่างไร

แต่ก็ไม่มีใครสนใจมากไปกว่านั้น ทั้งพี่โฟเองคิดว่า ถ้ารอยมาวนเวียนอยู่เป็นเพื่อนฉัน จะได้ช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัย

คร้านจะบอกพี่โฟว่า ฉันแน่ใจแล้วว่า ไม่มีที่ไหนปลอดภัยจริงๆ หรอก…มันไม่มี

 

พี่ฝนยังมีสีหน้าเครียดมากอยู่ ขณะมือดึงประตูหับเข้ามา แล้วยังลงกลอนให้แน่นหนา ก่อนจะเดินเข้ามา ห่างกันสักวาหนึ่ง

“คิดอะไรอยู่รึเรา”

แขนยังเจ็บแปลบๆ อยู่ แต่ฉันก็ไม่ต้องการจะทำอื่นใด

“ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น” ฉันตอบ “ทำแบบนี้ ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

“หึ” พี่ฝนทำเสียงในลำคอ “มีเหตุผลทุกอย่าง”

ร่างสูงกว่าเข้ามาประชิดตัวในที่สุด

“พี่ละชังเราจริงๆ”

“ก็ดีแล้ว…”

“ไม่เคยรู้สำนึกเลยใช่มั้ย!”

จะให้ฉันสำนึกในเรื่องอะไร นั่นคือประโยคที่ผุดขึ้นทันควันเช่นกัน แต่มันก็เปล่าประโยชน์จะพูดออกไป

“พี่อย่ายุ่งกับฉันเลยนะ” อีกหนหนึ่ง ที่ปากของฉันพูด “ฉันแค่ไม่อยากให้พี่เดือดร้อนอีก”

“อ้อ ห่วง?” น้ำเสียงพี่ฝนเยาะหยันขึ้นทันที “ทำไม กลัวพี่จะสู้อ้ายเป๋นั่นไม่ได้หรือ เพราะเห็นพี่ไม่ใช่ผู้ชายหรือ!”

ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ฉันก็รู้สึกแปลกแยกไปเสียทุกแห่ง ไร้แรงจะต่อความยาวสาวความยืดลง ลงไปนั่งพิงผนังด้านหนึ่ง

“พี่ไปนอนเถอะ ฉันแค่จะมาอยู่ชั่วคราว”

บางที ถ้าถึงพรุ่งนี้เช้า ฉันอาจจะต้องไปอีก

การจากไปอีก คงเป็นคำตอบสำหรับฉันอยู่ดี

พี่ฝนพ่นคำผรุสวาทออกมาเบาๆ

“เอาเถอะ จะเอายังไงก็ตามใจ พี่มันไม่ใช่คนที่เธอเลือกนี่!”

 

ในห้องของพี่ฝนก็มีแสงจันทร์ส่องเข้ามาเช่นกัน และมันยังเป็นจันทร์ดวงเดิมดวงเดียวที่ลอยอยู่บนฟ้า ระหว่างที่พี่ฝนขยับขึ้นบนสะลี หันหน้าเข้าหาฝาด้านหนึ่ง ฉันก็ยังนอนหงายอยู่ หูได้ยินเสียงอ้ายหมารอยกุกกักอยู่ในห้องข้างๆ

พี่โฟจะไม่กลับในคืนนี้

คงเป็นสิ่งดีที่สุดในตอนนี้ กับการแยกจากรอยออกมา

ฉันไม่ได้กลัวว่ามันจะทำอะไรอีก ไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะแน่ใจว่าถ้ามีโอกาสมันก็คงจะทำแน่ เราต่างรู้ดี แต่นั่นฉันไม่ได้หวั่นไหว

ที่ไม่ควรเกิดอีก คือการอยู่ใกล้ชิดกันต่างหาก ถ้าจริงอย่างที่รอยพูด

“…มึงเป็นคนที่กูรักที่สุด มึงเคยรู้บ้างมั้ย!”

…ถ้ารอยรักฉัน

มันควรยิ่งต้องรีบจบๆ กันไปเสีย

ฉันไม่มีทางจะรักตอบรอยได้

เพราะฉันรู้แน่แก่ใจ มันจะไม่มีวันนั้น

 

แล้วกับคนที่นอนอยู่ใกล้ๆ ในคืนนี้ล่ะ ถ้าหูไม่ฝาด ฉันได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ราวกับพยายามเต็มที่จะเก็บกลืนไว้ แต่ไม่สำเร็จ นอกเหนือจากนั้นอีก ฉันยังได้กลิ่นน้ำตา

ฉันรู้แล้วว่าพี่ฝนกำลังนอนร้องไห้

แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง แตะต้องไปบนพื้นที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันสีฟ้า แลเห็นข้าวของในห้องดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี

กลิ่นแป้งสปริงซองยังรวยรินมา

ทว่า ความรู้สึกไม่ใช่ของดัดโน้มเอาได้ แม้บางครั้ง…บางส่วนเสี้ยวของใจ ฉันก็อยากจะรักใครที่ดีกับฉัน หากหัวใจนั้นก็กลับทรยศเสมอมา

 

ความรักมันคืออะไรกัน มันผุดมันเกิดมาจากตรงไหน ทำไมเราไม่รักคนที่ดีกับเรา ทำไม่เราไม่พอใจจะอยู่ในอ้อมแขนคนที่พูดว่า…รักเรายิ่งนัก

ทำไม หัวใจของฉัน นับวันก็ยิ่งเหมือนผืนดินแตกระแหงไปทุกขณะ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยช่วยทำให้ฉันกลับฟื้นคืนได้ หรือเพราะ…เพราะกี่ครั้งที่หลงคิดไปว่า ชีวิตจะต้องดีกว่าเดิม

ก็วนกลับมาจุดเก่าซ้ำๆ ทุกที

เหมือนอย่างตอนนี้ ที่พบตัวเองนอนมองเพดานห้องอย่างโง่งม

ฉันเกลียดแสงจันทร์

และฉันเริ่มเกลียดทุกสิ่งทุกอย่าง เกลียดความอบอุ่น ที่ยิ่งสอนให้ฉันอ้างว้าง เกลียดความอ้างว้าง ที่มักสอนให้ฉันโหยหา เกลียดความโหยหา ที่สอนให้ฉันเฝ้าหวัง และนับวันฉันยิ่งเกลียดความหวัง เมื่อมันไม่เคยได้มา

คงจะมีแต่น้ำตาที่เป็นเพื่อนแท้ของเราทุกๆ คน

“น้อง”

เสียงพี่ฝนเรียกขึ้น ฟังคัดจมูกชัดเจน

ฉันแค่นิ่งอยู่ เนิ่นนาน กว่าจะขานตอบ

“อะไรพี่”

“พี่ผิดมากใช่มั้ย ที่เป็นแบบนี้ ที่พี่ยังรักน้องขนาดนี้”

ฉันควรตอบได้ในทันทีว่า ไม่ใช่ – ไม่ใช่ความผิด มันเป็นสิทธิ์ของใจ เหมือนที่ใจฉันก็ไม่อาจจะรักใคร่ได้ตามใบสั่ง

“ไม่หรอกพี่”

แต่ถ้าเรายังวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ มันคงไม่มีอะไรดีขึ้นมา

“พี่เลิกพูดเรื่องไร้สาระเถอะ” คำพูดฉันคงดังก้องออกไป “พี่เลิกคิดเสียเถอะ มันเป็นไปไม่ได้…ใจฉันมีเจ้าของแล้ว”

มันช่างฟังเป็นคำพูดสวยหรู เป็นภาษาในหนังสือนิยาย แต่ฉันก็พูดมันออกไปพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลรินออกมาเหมือนกัน

เพราะภาพที่ฉันเห็น ผู้ที่กำลังโอบกอดแนบชิดตัวฉัน บรรจงยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้

จะไม่มีวันพรากไปจากฉัน

จะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่กับฉัน

ไม่ว่าจะร้ายหรือดี อยู่ในนรกหรือสวรรค์

คนคนนั้น ก็คือตัวฉันเอง