ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มิถุนายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
สิ่งแวดล้อม
ทวีศักดิ์ บุตรตัน
หนังสือเด็กรับ ‘โลกร้อน’
ข่าวเล็กๆ จากกรุงซูวา ประเทศฟิจิ สำนักข่าวอัลจาซีรา หยิบยกมารายงานบนเว็บไซต์ว่า กลุ่มนักเขียนชาวฟิจิ รวมพลังสร้างสรรค์หนังสือเด็กว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะโลกร้อน ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง มลพิษปนเปื้อนในท้องทะเล การตัดไม้ทำลายป่าและทะเลเป็นกรด ความสำคัญของป่าชายเลน เป็นหนังสือชุดมีทั้งหมด 10 เล่ม
หนังสือเด็กชุดดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิเอเชีย เป็นเรื่องเล่าพร้อมรูปประกอบสีสันสวยงามเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็กชาวฟิจิ
“มิลิกา โซเบ” ผู้จัดการโครงการเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกของมูลนิธิเอเชีย บอกกับอัลจาซีราถึงที่มาที่ไปของโครงการหนังสือเด็กว่า ทะเลมีบทบาทสำคัญในการกำหนดสภาวะภูมิอากาศ ในเวลาเดียวกันทะเลเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาวเกาะ
“เด็กๆ บนเกาะต่างล้วนได้รับประสบการณ์ตรงจากพายุไซโคลนที่พัดกระหน่ำทำลายทรัพย์สินบนเกาะอย่างย่อยยับมาแล้วทั้งสิ้น ปัจจุบันพายุได้เกิดบ่อยถี่ขึ้นมาก” โซเบบอกอัลจาซีรา
โซเบอธิบายเพิ่มอีกว่า เด็กๆ ยังเรียนรู้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นกลายเป็นคลื่นยักษ์หรือสตรอมเชิร์จซัดกระหน่ำชายฝั่ง ทำลายพื้นที่ชายฝั่ง ผู้คนต้องทิ้งบ้านเรือนอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูง
“ในหนังสืออธิบายที่มาของเหตุการณ์ว่ามาจากสาเหตุอะไร แต่เราไม่ต้องการให้เด็กหวาดกลัวทะเล ตรงกันข้ามเราต้องการปลุกพลังให้เด็กๆ เคารพในความยิ่งใหญ่ของทะเล ซึ่งเป็นผู้รังสรรค์ระบบนิเวศน์”
หนังสือชุดทั้งสิบเล่ม ทางมูลนิธิเอเชียนำออกมาเผยแพร่ผ่านทางออนไลน์ให้เด็กๆ ได้อ่านฟรี มีทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาพื้นเมืองของฟิจิ และยังทำเป็นระบบออดิโอบุ๊กสำหรับคนพิการ
มหาสมุทรแปซิฟิกกว้างใหญ่ที่สุดในโลก พื้นที่น้ำทะเลครอบคลุมราว 33 เปอร์เซ็นต์ของผิวโลกทั้งหมด
เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ประเมินว่ามีราว 3 หมื่นเกาะ ผู้คนใช้ชีวิตอยู่สืบทอดวัฒนธรรม เรียนรู้ ต่อสู้ พบกับสุข ทุกข์โศกคลุกเคล้ากันไม่น้อยกว่า 3,500 ปี (ดูจากการค้นพบหลักฐานโบราณคดีที่เป็นหม้อไหมีลายเรียกว่า ลาปิต้า)
ชาวเกาะกลางมหาสมุทรห่างไกลความศิวิไลซ์ มีแต่ผืนน้ำกับท้องฟ้า แต่พวกเขากลับต้องเผชิญกับภัยพิบัติอันใหญ่หลวง
น้ำทะเลเพิ่มสูงทะลักใส่ชายฝั่งที่พวกเขาสร้างกระท่อมหลังเล็กๆ พายุไซโคลนหอบเอาน้ำฝนและลมแรง เทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา หลังคากระท่อมปลิวหาย เหลือแต่โครงเสา
เมื่อหมดหน้ามรสุม ความแห้งแล้งก็มาเยือน อากาศร้อนระอุ ผืนทรายบนหาดยาวกว้าง อมความร้อนเอาไว้ เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ทรายคายความร้อนออกมา
ผิวน้ำทะเลที่มีอุณหภูมิร้อนขึ้นทะลักลงสู่ใต้ผืนทะเลที่อุดมเป็นด้วยแหล่งปะการัง กลายเป็นวิกฤตการณ์ทะเลกรด ปะการังซีดขาว ป่าชายเลนตายซากและเกิดโรคระบาดทำลายแหล่งเพาะปลูก
ราว 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ชาวเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกผจญภัยกับภัยพิบัติอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ จนกลายเป็นเรื่องปกติ
ปี 2559 ชาวเกาะปาเลา ในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ใกล้ๆ กับหมู่เกาะฟิลิปปินส์ พากันเป็นงง เมื่อน้ำทะเลร้อนขึ้นมาก แมงกะพรุนได้หายไปจากท้องทะเลของปาเลา อีก 3 ปีต่อมาอุณหภูมิน้ำทะเลลดลง แมงกะพรุนกลับมาโผล่ให้เห็นอีกครั้ง
ส่วนเกาะฟิจิ อยู่ทางฝั่งใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก รัฐบาลสั่งย้ายหมู่บ้านริมชายฝั่ง เพราะเกรงน้ำทะเลจะซัดจมหาย
แนวปะการังของหมู่เกาะตูวาลู เจอน้ำทะเลเอ่อท่วม ถ้าจะฟื้นคืนต้องใช้เงินงบประมาณเป็นพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปีที่แล้วทูตถาวรประจำสหประชาชาติแห่งฟิจิ เรียกร้องให้ประเทศมหาอำนาจที่ปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณมากๆ ลดการปล่อยก๊าซพิษให้มากกว่าที่เป็นอยู่
เพราะบรรดาประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทร 13 ประเทศรวมทั้งปาเลา ฟิจิ ได้รับความเดือดร้อนหนักจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ
ในโลกใบนี้มี 2 ปอดใหญ่ที่ช่วยดูดซับก๊าซพิษและคายก๊าซออกซิเจนออกมา คือป่าอะเมซอน และมหาสมุทรแปซิฟิก
เวลานี้ป่าแอมะซอนมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าที่ดูดซับเอาไว้เนื่องจากมีการโค่นเผาป่าอย่างมโหฬาร
ส่วนมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งเคยปล่อยก๊าซออกซิเจนราว 20% ของปริมาณก๊าซออกซิเจนทั้งหมด พบว่าปล่อยออกซิเจนลดลงเพราะภาวะโลกร้อน
ชาวเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกจึงวิงวอนขอให้ประเทศมหาอำนาจลดการปล่อยก๊าซพิษและช่วยนำเทคโนโลยี ถ่ายทอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้ชาวเกาะเพื่อปกป้องภัยพิบัติ
ล่าสุด “อัลจาซีรา” บอกว่า รัฐสภาแห่งวานูอาตู อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ห่างจากเกาะฟิจิราวๆ 800 กิโลเมตร ประกาศภาวะภูมิอากาศฉุกเฉิน
นายบ็อบ ลาจ์กแมน นายกรัฐมนตรีของวานูอาตูร้องขอรัฐสภาให้จัดงบประมาณ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐรับมือระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงและภูมิอากาศแปรปรวนอันเป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
วานูอาตูเผชิญกับวิกฤตการณ์โลกร้อนมานานแล้ว เมื่อปี 2558 พายุไซโคลนทำลายวานูอาตูสูญเสียทรัพย์สินเกือบ 450 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 64 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
เดือนเมษายน 2563 พายุไซโคลน “ฮาโรลด์” พัดถล่มวานูอาตู และหมู่เกาะตองกา มีบ้านเรือนพังพินาศ ผู้คนเสียชีวิตหลายสิบคน
“ลาจ์กแมน” บอกว่า โลกร้อนเกินไปและไม่ปลอดภัย พวกเราชาวเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกำลังอยู่ในภาวะอันตราย
“วานูอาตูต้องเร่งผลักดันประเทศมหาอำนาจแสดงความรับผิดชอบกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น และจะต้องขอรับบริจาคเงินจากประเทศมหาอำนาจ” ผู้นำแห่งวานูอาตูประกาศให้โลกรู้ •