เช็กสเตตัส ‘บิ๊กบี้’ เช็กท่าที ผบ.ทบ. ย่างก้าว ผบ.เหล่าทัพ ใต้เงารัฐประหาร กับรอยร้าว เกมชิงอำนาจ/รายงานพิเศษ

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.

รายงานพิเศษ

 

เช็กสเตตัส ‘บิ๊กบี้’

เช็กท่าที ผบ.ทบ.

ย่างก้าว ผบ.เหล่าทัพ

ใต้เงารัฐประหาร

กับรอยร้าว เกมชิงอำนาจ

 

แม้จะถูกมองว่ามี ‘สัญญาณ’ ที่ทำให้บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ออกแอ๊กชั่น กรณีโฆษณาของลาซาด้ากระทำในสิ่งไม่เหมาะสม แต่ก็ทำให้ขาเก้าอี้ ทบ.1 ของบิ๊กบี้ มั่นคงแข็งแรงขึ้นทันที

หลังจากที่เกิดกระแสข่าวลือในกองทัพ ว่าจะเด้ง ผบ.ทบ.ในโยกย้ายกันยายนนี้ เป็นการทิ้งทวนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก่อนสิ้นรัฐบาลนี้

ทั้งกระแสข่าวจะขยับบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ที่นั่งเป็น ผบ.ทหารสูงสุดมา 2 ปี ไปเป็นปลัดกลาโหมที่ว่าง เพราะบิ๊กหน่อย พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ เกษียณกันยายน 2565 นี้ และจะขยับ พล.อ.ณรงค์พันธ์จาก ผบ.ทบ. ไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุดแทน

เพื่อเปิดทางให้บิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผช.ผบ.ทบ. น้องรัก ตท.23 สายทหารเสือราชินี ของ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.เลย จากเดิมที่ต้องรอ พล.อ.ณรงค์พันธ์เกษียณกันยายน 2566 เสียก่อน และจะทำให้ได้เป็น ผบ.ทบ.ยาวถึง 2 ปี จากเดิมที่จะได้เป็น ผบ.ทบ.แค่ปีเดียว

ด้วยเพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ถูกจับตามองว่าเป็นทหารที่มีจุดยืน พิทักษ์ เทิดทูน รักษาปกป้องสถาบันอย่างชัดเจนมาตลอด อีกทั้งเป็น ผบ.ทบ.คอแดง ที่เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย จึงทิ้งระยะห่างทางการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์ไม่น้อย

จนทำให้เกิดข่าวลือดังกล่าว

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.

กระแสข่าวนี้สะพัดหนัก ตั้งแต่มีเรื่องใน ททบ.5 จนบิ๊กตี๋ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ ผอ.ททบ.5 เพื่อนรัก ตท.22 ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ต้องลาออก เพื่อตัดตอนความรับผิดชอบต่อนโยบายการเสนอข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่สวนทางนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ และการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งมีข่าวเข้าหู พล.อ.ประยุทธ์ถึงท่าทีของ พล.อ.กิตติ

ที่สำคัญ ตอนนั้น พล.อ.กิตติไม่อยากให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เพื่อนรักลำบากใจ เพราะเป็นเหมือนลูกบอล ที่ถูกเตะไปเตะมา เพราะโดนทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และนายกฯ กดดัน จึงยอมลาออก

แต่ในที่สุด เสมือนพายุใน ททบ.5 จะสงบลง หลัง พล.อ.ณรงค์พันธ์ ตั้งบิ๊กเหน่ง พล.ท.วิสันติ สระศรีดา เพื่อน ตท.22 อีกคนมาเป็น ผอ.ททบ.5 แทน ขณะที่ทีมข่าวท็อปนิวส์ กองเชียร์นายกฯ ก็ยอมกลับมาทำข่าวให้ ททบ.5 ตามเดิม หลังจากมีข่าวว่านายกฯ ช่วยเจรจาเคลียร์ให้

แต่ไปๆ มาๆ ที่สุด ใน 1เดือน ทีมท็อปนิวส์ก็ถอนตัวออกจาก ททบ.5 โดยมีเหตุผลทั้งด้านผลประกอบการ เรตติ้ง และพิษเศรษฐกิจ และไม่มีสปอนเซอร์ แต่ถูกมองว่า เพราะรอยร้าวระหว่าง ผบ.ทบ. กับนายกฯ จากกรณี ททบ.5 หรือไม่

จึงทำให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ในฐานะประธานบอร์ด ททบ.5 ต้องมาช่วยดูแลด้วยตัวเอง ถึงขั้นไปเดินตรวจ ททบ.5 ในแผนกต่างๆ ด้วยตนเอง เพราะต้องกลับมาทำกันเอง สู้กันต่อไป

แต่ก็ถูกมองว่า เมื่อท็อปนิวส์ออกจาก ททบ.5 ไป ก็ยังปรากฏรอยร้าวที่เกิดขึ้นจากช่วงวิกฤต ถึงขั้นที่คน ททบ.5 โพสต์แสดงความดีใจที่ ททบ.5 กลับมาเหมือนเดิม และสู้วิกฤตเศรษฐกิจกันต่อไป

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.

การแอ๊กชั่นของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กรณีโฆษณาของลาซาด้า จึงถูกมองว่า นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และการปกป้องสถาบัน อันเป็นจุดยืนแล้ว

จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ยังเป็นเสมือนเกราะกันโดนเด้ง โดนย้ายอีกด้วย

แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะย้าย พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่มีแบ๊กอัพไม่ธรรมดา เพราะการขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.ได้ และนั่งมา 2 ปี ก็ย่อมต้องมีพลังหนุน

อีกทั้งยังเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย จึงไม่ใช่ว่าฝ่ายการเมืองจะมาย้ายกันได้ง่ายๆ

และต้องไม่ลืมว่า แอ๊กชั่นของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ที่สั่งหน่วยทหาร งดสั่งสินค้าจากลาซาด้า และห้ามรถขนส่งของลาซาด้าเข้าเขตทหาร แม้ไม่ห้ามกำลังพลสั่งซื้อ แต่หากจะรับของจากลาซาด้า ให้ไปรับนอกค่ายนั้น เกิดขึ้นหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์สั่งให้โฆษกรัฐบาลแถลงถึงความไม่สบายใจของนายกฯ ต่อการก้าวล่วง

และต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็น รมว.กลาโหมด้วย จึงไม่แปลกที่เหล่าทัพต้องตบเท้าแสดงจุดยืน แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ออกมาพูดด้วยตัวเอง

แต่ พล.อ.ณรงค์พันธ์เป็น ผบ.เหล่าทัพ คนแรกที่ออกมาแอ๊กชั่น ด้วยการสั่งการในที่ประชุม ศปก.ทบ. หรือเรียกว่า มอร์นิ่ง บริ๊ฟ ที่ ผบ.ทบ.จะเข้าร่วมเองทุกเช้าวันจันทร์ ส่วนวันอื่นก็มอบหมายให้ 5 เสือ หมุนเวียนกันเป็นประธานในแต่ละวันแทน อันเป็นจังหวะที่วันที่ 9 พฤษภาคม เป็นวันจันทร์พอดี พล.อ.ณรงค์พันธ์จึงเข้าประชุมด้วยตนเอง และสั่งการ ที่แม้จะพุ่งไปที่ “นารา เครปกะเทย” และลาซาด้า แต่เป้าหมายคือ เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปถึงขบวนการล้มล้างสถาบัน ที่เคลื่อนไหวหนักข้อขึ้น

แล้วสำทับด้วยการออกมาให้สัมภาษณ์สื่อด้วยตัวเอง จึงมีการเน้นคำว่า “อย่าลามปาม”

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.

ทําให้ ผบ.เหล่าทัพอื่นต้องออกมาแสดงจุดยืนกันแบบเร่งด่วน จนวันที่ 9 พฤษภาคม ตั้งแต่บ่ายจนถึงดึก ที่มีความเคลื่อนไหว ที่แต่ละเหล่าทัพแถลงจุดยืนต่อกรณีลาซาด้าเช่นกัน จนถูกเปรียบเทียบว่าเป็นเสมือนการรัฐประหารเงียบ ที่พุ่งเป้าไปที่ขบวนการล้มล้างสถาบัน เรียงจาก ทบ.-ทอ.-ทร. และ บก.ทัพไทย แต่ทว่า มีสไตล์และการเน้นย้ำที่แตกต่างกันไป แต่ภาพรวมคือ เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังพวกที่คิดหมิ่น ก้าวล่วงสถาบันนั่นเอง ซึ่งเป็นจุดยืนร่วมของ ผบ.เหล่าทัพอยู่แล้ว

โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพไทย ที่มี พล.อ.เฉลิมพลย้ำว่า กองทัพก็มีจุดยืนในด้านการพิทักษ์ ปกป้อง และเทิดทูนสถาบัน และจะมิยอมให้กลุ่มบุคคลใดกระทำการล่วงเกินสถาบันสูงสุดของประเทศโดยเด็ดขาด

ขณะที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ย้ำในคำสั่งการว่า เราต้องแสดงจุดยืน ว่าประชาธิปไตยมีได้ แต่ต้องไม่ลามปาม ไม่ล้อเลียน และไม่ทำให้ผู้อื่นที่จงรักภักดี ต้องขุ่นข้องหมองใจ ในเมื่อเขาไม่ตระหนักถึงคนที่จงรักภักดี

“ดังนั้น ในฐานะที่เราเป็นสถาบัน ที่ต้องปกป้องสถาบันหลักของชาติ ก็ต้องแสดงออกว่า การกระทำทุกอย่างย่อมต้องมีผลตอบแทน และเราต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลาย เราไม่ได้ปิดกั้นสิทธิใดๆ ของใคร เราเพียงแค่เรียกร้องสิทธิของคนที่จงรักภักดีต่อสถาบัน ให้อยู่คู่ชาติไทยเท่านั้นเอง” ผบ.ทบ.กล่าว

มีรายงานข่าวว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์เองก็ไม่แฮปปี้ที่องค์กรต่างๆ ปล่อยปละพวกหมิ่นสถาบัน จึงออกมาสะกิดว่า ให้ทุกฝ่ายและทุกองค์กรทำหน้าที่ของตัวเอง มิใช่ให้แต่ กองทัพหรือ ผบ.ทบ.ต้องออกหน้า

จน พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเองว่า “นายกฯ ก็รับไม่ได้” กับเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่กระนั้น สถานการณ์ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะนำไปสู่ความวุ่นวาย เพราะมีแต่ความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย และเสียงวิพากษ์วิจารณ์

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.

ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองทั้งในสภาและนอกสภา บนความพยายามที่จะล้ม พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงความไม่แน่นอนในความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และบิ๊กดีลระหว่างพรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทย จนฝ่ายนักการเมืองออกมาเตือนเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร โดยเฉพาะหากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

และโดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาการแย่งชิงเก้าอี้ แย่งชิงอำนาจในกองทัพจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะมีขึ้น โดยเฉพาะกระแสข่าวการเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ.

แต่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ยังคงยืนยันจุดยืนเดิมเรื่องการรัฐประหารว่า “ไม่มี” เพราะกองทัพยังยึดมั่นอุดมการณ์ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน

อันเป็นท่าทีเดิมที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์เคยประกาศไว้เมื่อครั้งที่ขึ้นมา ผบ.ทบ. เมื่อ 6 ตุลาคม 2563 ว่า โอกาสในการรัฐประหารเป็นศูนย์ จนถึงติดลบ

ด้วยเพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์รู้ดีว่าการปฏิวัติรัฐประหารในยุคเปลี่ยนผ่าน จนมาถึงปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องง่าย และ ผบ.ทบ.ไม่ได้มีอำนาจในการสั่งใช้กำลังกองทัพบก โดยเฉพาะขุมกำลังรบ ที่ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยกำลังปฏิวัติ ได้โดยลำพังอีกต่อไป

ด้วยเพราะขุมกำลังปฏิวัติในปัจจุบัน ได้ถูกย้ายโอนไปเป็นหน่วยในพระองค์แล้ว ทั้ง ร.1 รอ. และ ร.11 รอ. ขณะที่ ทั้งกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) และกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) และกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ก็กลายเป็นทหารคอแดงที่ขึ้นตรงกับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904)

แม้ว่าจะมี พล.อ.ณรงค์พันธ์ในฐานะ ผบ.ทบ. เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ก็ตาม แต่อำนาจในการตัดสินใจ ไม่ได้อยู่ในมือ ผบ.ทบ.คนเดียวอีกต่อไป

อีกทั้งยุทโธปกรณ์หลัก โดยเฉพาะรถถัง ที่เคยใช้เป็นอาวุธหลักในการปฏิวัติรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมา ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากเขตกรุงเทพฯ และชานเมือง ไปอยู่ในต่างจังหวัดหมดแล้ว เหลือแต่รถเกราะ และรถสายพานลำเลียงพลเท่านั้น

จึงทำให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์กล้าที่จะพูดว่า ไม่มีรัฐประหารอีกครั้ง เมื่อถูกถามล่าสุด

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.

แม้ว่าอนาคตทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์จะไม่มีอะไรแน่นอน แต่ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกับผู้นำกองทัพเพราะยังคงเป็นสายเลือดเตรียมทหารสายเลือด จปร.ด้วยกัน

แต่ถ้าว่าน้องๆ ผู้นำเหล่าทัพและบิ๊กทหารในกองทัพกำลังจับจ้องดูการเดินเกมทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ และพี่ๆ ทหารเก่าในการเมือง รวมทั้ง พล.อ.ประวิตรว่าจะนำไปสู่ความมั่นคง หรือความวุ่นวาย

เพราะแม้ พล.อ.ประวิตรจะยืนยันว่า จะไม่มีใครล้ม พล.อ.ประยุทธ์ และจะอยู่ไปจน “จบ” ก็ตาม แต่ก็ไม่เคยพูดชัดเจนถึงอนาคตทางการเมืองในสมัยหน้าของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะได้ไปต่อหรือไม่

แม้จะเคยให้สัมภาษณ์ว่า จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐก็ตาม แต่ก็ไม่เคยยืนยันว่าจะเสนอแค่ชื่อเดียว หรือไม่

ประกอบกับความเคลื่อนไหวของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่แม้จะแยกไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย นั่งเลขาธิการพรรคแล้ว แต่ก็ถูกมองว่าเป็นภาคส่วนแยกของ พล.อ.ประวิตรจะเดินเกมล้ม พล.อ.ประยุทธ์ได้หรือไม่

ท่ามกลางกระแสข่าวที่สะพัดในระยะหลังนี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจจะอยู่แค่ครบเทอมในสมัยนี้ และจะไม่ไปต่อในสมัยหน้า จะพักวางมือแล้ว แม้เวลาลงพื้นที่ พล.อ.ประยุทธ์จะบอกกับชาวบ้านว่า สู้อยู่แล้ว ก็ตาม

อาจกล่าวได้ว่า ชะตาชีวิตของ พล.อ.ประยุทธ์ในเวลานี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น แต่อยู่ที่พี่ใหญ่อย่าง พล.อ.ประวิตรด้วย

ท่ามกลางสายตาของน้องๆ ในกองทัพ ที่ดูพี่ๆ ที่อยู่บนถนนการเมืองอยู่ ว่าจะนำพาประเทศชาติไปในทิศทางใด และอย่าให้ต้องเดือดร้อน จนน้องๆ ในกองทัพต้องออกมาแก้ไขสถานการณ์กันอีกครั้ง