บางอย่างในความรักของเรา (7) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (7)

 

หลายปีต่อมา เมื่อผมหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ผมพยายามตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดผมจึงอดทนกับการมองภาพที่ประจักษ์กับสายตาได้อย่างสงบ

เพราะเหตุใดผมจึงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างสงบ

ภาพของปิ่นที่เดินเคียงคู่กันไปกับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ภาพดังกล่าวนั้นเป็นภาพที่บาดตาและใจของผมอย่างยิ่งแต่กระนั้นผมกลับยอมรับมันได้อย่างสงบ

อาจเป็นความอ่อนล้าจากการรอคอย อาจเป็นความคาดการณ์ว่าจะมีภาพที่ว่านี้เกิดขึ้นสักวันใดวันหนึ่งหรืออาจเป็นเพราะผมรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ลงตัวระหว่างผมกับปิ่น และผมควรถอยออกมาพิจารณามันอย่างใคร่ครวญแทนการถาโถมเดินหน้าไปไม่สิ้นสุด

ความรู้สึกเหล่านี้กระมังที่ถ่วงตรึงให้ผมมองดูปิ่นเดินห่างจากผมไปทุกทีทุกทีในเย็นวันนั้น

ผมนั่งรถประจำทางกลับบ้านด้วยอาการเหม่อลอย ไม่มีความพยายามใดที่จะแสวงหาคำตอบในวันนั้น ผมไม่ได้เดินตามปิ่นออกไป ผมกลัวการเห็นภาพที่ชวนให้เจ็บปวดกว่านั้น

อาจกล่าวได้ว่าผมเกิดความขลาดกลัวที่จะล่วงรู้อะไรเกินกว่าที่รู้และต้องการขดตัวอยู่ในความรู้เพียงเท่านั้นเพื่อให้ตนเองพ้นจากความเจ็บปวดทั้งมวล

 

ในระหว่างที่รถประจำทางแล่นไปนั้นเอง ผมก็พบว่ารถประจำทางคันดังกล่าวกำลังแล่นผ่านหน้าโรงเรียนเก่าของผม ผมลุกขึ้นจากที่นั่ง กดกริ่งเพื่อให้รถจอดอย่างเร่งรีบ คนขับที่กำลังเพลิดเพลินกับการเร่งเครื่องจอดรถอย่างกะทันหัน เขาสบถถ้อยคำบางคำออกมา แต่ผมไม่สนใจ ผมกระโดดลงจากรถ ข้ามถนนและเดินเข้าไปในโรงเรียนอย่างตั้งใจ

ชั่วระยะเวลาเพียงหนึ่งปีหาได้ทำให้โรงเรียนของผมเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด สระน้ำทางด้านซ้ายมือของโรงเรียนยังคงเต็มไปด้วยดอกบัวสีชมพูที่ในยามนี้มันพากันหลุบดอกอย่างพร้อมเพรียง

อาคารไม้สีเทาที่เราเรียกว่าอาคารเรือนเทายังคงตั้งอยู่ในที่ของมัน

เป็นเวลาเย็นมากแล้วจนเกือบจะเข้าสู่ช่วงเวลาสายัณห์จึงหลงเหลือนักเรียนในโรงเรียนเพียงน้อยเต็มที บางส่วนคงเป็นนักเรียนที่พากันจับกลุ่มติววิชาต่างๆ บางส่วนเป็นเด็กนักเรียนที่พากันทำกิจกรรม โรงเรียนเก่าของผมนั้นขึ้นชื่อด้านการเรียนที่เข้มงวด กิจกรรมในโรงเรียนจึงดูเป็นส่วนเกินมากกว่าส่วนที่จำเป็น

ผมเดินทะลุโรงเรียนมุ่งหน้าไปสู่ถนนอังรีดูนังต์ และเมื่อถึงอาคารกิจกรรมชั้นเดียวที่พวกเราเรียกมันว่า “เล้าไก่” ผมก็นั่งลงที่ม้านั่งหินในบริเวณนั้นด้วยสภาพที่อ่อนแรง

 

ช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีที่ผ่านมา ผมกับปิ่นตัดสินใจทำละครเวทีหนึ่งเรื่องให้กับชมรมของเรา

ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่ชมรมที่เราทั้งคู่เป็นสมาชิกชมรมอันได้แก่ชมรมพุทธศาสนานั้นจะประกาศความต้องการถึงการทำละครสักเรื่องให้ใครต่อใครได้ชมมอง

ในรอบหลายปีที่ผ่านมาสิ่งที่ชมรมของเรานำเสนอต่อหน้าสาธารณชนมีเพียงบอร์ดนิทรรศการที่ประกอบไปด้วยภาพวาดจากหนังสือพุทธประวัติและเรื่องราวเกี่ยวกับคำสอนจากบรรดาพระอริยสงฆ์ต่างๆ ห้องแสดงงานของชมรมเป็นห้องที่ผู้คนพร้อมจะเดินผ่านไปอย่างไม่ไยดี

พวกเราในปีนั้นจึงคิดว่าเราควรมีการเปลี่ยนแปลง และเมื่อผมเสนอว่าเราควรจับจองกิจกรรมการแสดงบนเวทีและแทนการสวดสรภัญญะดังเคยเราควรสร้างสรรค์บทละครเพื่อการนี้

ประธานชมรมของเราเห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้ในทันทีเขาเองก็ดูจะเบื่อหน่ายกับการจัดนิทรรศการในรูปแบบดังกล่าวมากเต็มที

ผมกับปิ่นจึงเข้ามารับผิดชอบในละครเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มตัว ผมโทรศัพท์หาเธอแทบทุกวัน ปรึกษาเธอในแทบทุกเรื่องนับตั้งแต่บทสนทนาของตัวละครจนกระทั่งโครงเรื่อง ในตอนนั้นเองที่ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่รุดหน้าไปจนกระทั่งถึงวันเเสดงละคร

ในวันนั้น เพื่อนของเราอีกคนที่เป็นคนตระเตรียมฉากมาถึงสถานที่จัดแสดงซึ่งเป็นหอประชุมของโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่ เขาประกอบตัวเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่โดยลำพังเพียงคนเดียวจนเสร็จสิ้น คงเหลือแต่เพียงรูปคลื่นทะเลที่เราขอให้สมาชิกอีกสองคนของชมรมถือมันเดินผ่านไปมาระหว่างการแสดงที่ยังคงต้องพ่นสีและเก็บรายละเอียดอีกเล็กน้อย

นักแสดงทุกคนมาเตรียมตัวที่หอประชุมก่อนเวลา ทุกคนตระเตรียมชุดของตนเองมาอย่างตั้งใจ ปิ่นที่ใส่ชุดราตรีที่เผยให้เห็นแผ่นหลังอันขาวละเอียดนวลตาก็ปรากฏตัวที่นั่นด้วย

ผมแม้ว่าจะทำหน้าที่ผู้กำกับก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบลอบมองเธอในทุกครั้งที่มีโอกาส ปิ่นในวันนั้นสวยสะพรั่งเกินเด็กสาวในวัยเดียวกันและผมเชื่อว่าทุกคนที่พบเธอในวันนั้น

ทุกคนที่ได้ชมการแสดงของเธอในวันนั้นล้วนคิดไปในทางเดียวกัน


ภาพประกอบ : The Dream, engraving by James Marshal for the Violin Sonata in G minor or the Devil’s Trill, by Giuseppe Tartini (1692-1770). Budapest, Zenetorteneti Muzeum (Music History Museum)

เรื่องราวในละครเป็นเรื่องราวของผู้โดยสารเครื่องบินลำหนึ่งที่ตกลงในท้องทะเล พวกเขาพากันรอดชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนั้นรวมถึงอันตรายแบบต่างๆ ด้วย กระนั้นการพาตัวเองไปติดเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในเวลาต่อมาทำให้พวกเขาต้องมีบทสนทนาร่วมกันในแทบทุกวัน และบทสนทนาหนึ่งที่พวกเขาคุยกันบ่อยครั้งคือเรื่องของศาสนาและเรื่องของความตาย

ผู้โดยสารคนแรกที่เข้าใกล้ความตายเป็นชายชรา เขาประสบอาการติดเชื้อจากบาดแผลที่ได้รับหลังเครื่องบินตก เขาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดแทบทุกวันจนในที่สุดทุกคนก็ตัดสินใจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปพูดคุยกับเขา

คำถามแรกที่เขาถามคือเขาจะตายหรือไม่ และหากเขาตายไปเขาจะต้องพบกับอะไรบ้าง ในหมู่คนที่สนทนากับเขามีคนที่นับถือศาสนาต่างๆ ไปจนถึงคนที่ไม่นับถือศาสนา

มีเพียงหญิงสาวในชุดราตรีที่เธอตั้งใจว่าเมื่อลงจากเครื่องบินจะตรงไปยังงานวันเกิดของคนรักของเธอเท่านั้นที่นับถือศาสนาพุทธ หญิงสาวคนนั้นรับบทโดยปิ่น และบทสนทนาของทั้งคู่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายในทัศนะของพุทธศาสนา

ฉากสำคัญมาถึงเมื่อถึงวันสุดท้ายของชายชราคนนั้น ปิ่นในบทของหญิงสาวนั่งลงเคียงข้างเขา จับมือของเขาไว้ ปลอบประโลมเขาให้มีความกล้าที่จะเผชิญกับวาระสุดท้ายของชีวิต ชายชราผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า

“นี่ผมคงเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่แล้วกระมัง”

หญิงสาว

“ฉันเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น ร่างกายของคุณดูอ่อนแรงมาก ริมฝีปากของคุณซีด ผิวหนังของคุณเหี่ยวย่น คุณไม่ได้กินอะไรลงท้องกว่าสี่สิบแปดชั่วโมงแล้ว”

ชายชรา

“ผมกินอะไรไม่ลงเลย ทุกครั้งที่ผมหลับตา ผมนึกถึงแต่ความตายที่กำลังเดินทางมาหาผม ผมนึกถึงแต่การจากลา การจากลาคนรัก การจากลาบุคคลที่คุ้นเคย รวมถึงพวกคุณที่ผมเพิ่งได้ทำความรู้จักด้วย หนทางข้างหน้าดูมืดมนเหลือเกิน ผมไม่อยากจากโลกนี้ไปเลย ผมยังอยากมีชีวิตอยู่”

หญิงสาว

“ดิฉันเข้าใจดี แต่ดูเหมือนว่าคุณจะไม่มีทางเลือก อันที่จริงพวกเราทุกคนล้วนไม่มีทางเลือก นับตั้งแต่เราเกิดมา เราก็มุ่งหน้าสู่ความตายทุกคนไป พวกเราล้วนมีความตายรออยู่เบื้องหน้าแทบทั้งสิ้น ไม่เคยมีใครที่ไม่ตาย ไม่เคยมีใครที่ไม่เผชิญหน้ากับความตาย เพียงแต่ว่ามันเกิดขึ้นช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”

ชายชรา

“ผมแปลกใจมาก ดูคุณยังมีอายุไม่มากนัก แต่ทำไมดูคุณเข้าใจความตายได้อย่างดียิ่งเมื่อเทียบกับคนหลายคนที่นี่”

หญิงสาว

“ฉันชอบขบคิดถึงความตาย นับตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่วันที่แมวตัวแรกของฉันจากโลกนี้ไป ฉันก็ขบคิดถึงความตาย ฉันมีคำถามว่าความตายคืออะไร และฉันก็เพียรแสวงหาคำตอบในเรื่องนี้ตลอดมา”

ชายชรา

“คุณได้คำตอบแล้วหรือ?”

หญิงสาว

“ฉันไม่ได้รับคำตอบว่าความตายคืออะไร แต่ฉันได้รับคำตอบว่าเมื่อความตายมาถึงเราควรมองมันอย่างไร”

ชายชรา

“แล้วคุณมองมันอย่างไร?”

หญิงสาว

“ฉันมองมันตามความเป็นจริง ดังที่ฉันพูดความตายเป็นผลสืบเนื่องจาการเกิด หากคุณมีการเกิด คุณย่อมมีการตาย คุณไม่อาจแยกแยะสองสิ่งนี้ออกจากกันได้ มันถูกผสมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เรามีชีวิตที่ไม่ยืนยาวนักในทุกคน ในฐานะของพุทธศาสนิกชน ฉันจึงมักร้องขอให้พวกเราทำความดียิ่งกว่าความชั่ว เพราะเมื่อถึงวาระสุดท้าย ความชั่วจะทำให้จิตใจของเราอ่อนล้าและอ่อนแรง ในขณะที่ความดีทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งและเบิกบานพอที่จะสู้กับความตายที่กำลังจะมาถึงได้ ตอนนี้จิตใจคุณเป็นเช่นไรบ้าง?”

ชายชรา

“ผมรู้สึกว่าจิตใจของผมสดชื่นขึ้นหลังได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากคุณ การที่มีคุณนั่งอยู่ข้างๆ ทำให้ผมมีความกล้าที่จะเผชิญความตาย ขอบคุณคุณมาก”

 

ชายชราจับมือของหญิงสาวไว้มั่น เขาแสดงออกว่าเธอเป็นที่พึ่งของเขาจริงๆ

แม้บทละครนั้นผมจะเป็นผู้เขียน แต่ในฉากนั้นเอง ผมกลับรู้สึกอยากสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งของผู้แสดง

ผมอยากจับมือของปิ่น เมื่อมองไปยังภาพบนเวที

ผมรู้สึกได้ถึงความปรารถนาที่จะมีปิ่นเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างผมในทุกวาระสำคัญของชีวิตที่จะมีมา •