ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 กันยายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
ภายหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจหนี ไม่มารับฟังคำพิพากษาศาล ในข้อหาปล่อยปละละเลยคดีโครงการรับจำนำข้าว ได้เกิดเครื่องหมายคำถามที่ยากเกินการคาดเดาถึงคำตอบ คือ หลังจากนี้ทิศทางการเมืองไทยจะเป็นอย่างไร ความขัดแย้งที่มีมานมนานนับ 10 ปี จะยุติลง คงอยู่ หรือเพิ่มอุณหภูมิมากขึ้น
ที่สำคัญกระบวนการปรองดองที่รัฐบาล คสช. หมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นผลงานโบแดงของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม จะเสร็จสำเร็จลุล่วงหรือไม่ อย่างไร
มีเสียงสะท้อนจากนักปรองดองขั้นเทพ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” ที่ล่าสุดได้นั่งในตำแหน่งประธานคณะกรรมการปฏิรูปด้านการเมือง นายเอนกพูดเป็นนัยให้คิดตาม โดยเชื่อมั่นว่าหลังจากนี้กระบวนการปรองดองจะผ่านอุสรรคไปได้ นักการเมือง พรรคการเมืองจะเอาด้วย คือในอนาคตจะตั้งรัฐบาลได้ แม้จะเป็นการจัดตั้งด้วยความจำเป็น
ที่สำคัญการหนีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเป็น “เงื่อนไขพิเศษ” ให้การปรองดองของรัฐบาลสัมฤทธิผล เพราะมีอำนาจบางอย่างแสดงแสนยานุภาพ ช่วยให้ปัญหาจบ
ถามว่าอะไรคือ “เงื่อนไขพิเศษ” ที่นักปรองดองผู้นี้หมายถึง
หากจะให้วิเคราะห์ก็สามารถแยกออกเป็นข้อๆ จากมีความเป็นไปได้น้อย ไปถึงมีความเป็นไปได้สูง ดังนี้
1. การหนีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ผ่านการต่อรองจนเป็นข้อตกลงกับผู้กุมอำนาจเรียบร้อยแล้ว
2. สองพี่น้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายทักษิณ ชินวัตร อยู่อย่างสงบ เลิกยุ่งการเมือง
3. แกนนำและ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ทิ้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายทักษิณ แล้วเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นอิสระ
4. แกนนำเสื้อแดงไม่มีทางเลือก เพราะถูกบีบทุกทาง
5. กลไก คสช. ได้บีบจนพรรคเพื่อไทยแตกสลาย ต่อมาสมาชิกพรรคต้องหาที่พึ่งใหม่
นั่นคือเงื่อนไขหลังไร้เงา น.ส.ยิ่งลักษณ์
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็น “เงื่อนพิเศษ” ที่นายเอนกหมายถึง
ทว่า นายเอนกยังเชื่อมั่นว่ากระบวนการปรองดองจะสร้างความหวังใหม่แก่ประเทศ เป็นความเชื่อมั่นแบบเมื่อครั้งก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปด้านการเมือง
นายเอนกโพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “เชื่อมั่นประเทศไทย ทำงานใหญ่ต่อไป” โดยเขียนบทความยาวเหยียดเกี่ยวกับการพัฒนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่ออธิบายประเทศไทยในอนาคต
ก่อนลงท้ายว่า “ยังมีงานใหญ่กว่านี้รออยู่มากครับ แต่รถไฟกรุงเทพฯ-โคราช ย่อมเป็นเพียงก้าวแรกในการสร้างพื้นฐานการขนส่งคมนาคมและโลจิสติกส์ในยุคบูรพาภิวัฒน์ ไทยเราจะต้องก้าวต่อไปครับ ไม่หยุดยั้ง อย่างเร่งรีบจริงจัง แต่ก็ไม่ผลีผลาม รอบคอบที่สุด ยอมปรับปรุงแก้ไขได้ มากหรือน้อย ทั้งต้องน้อมใจรับฟังกันได้เสมอ เชื่อใจกันได้ ทนได้ ชื่นชมได้ ต่อทุกเสียงและทุกความคิดเห็น”
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าในอดีต “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” เป็นใคร
นายเอนก เป็นนักศึกษายุค 6 ตุลา ที่เคยหลบภัยทางการเมืองไปอยู่ในป่านานถึง 4 ปี เริ่มเส้นทางการเมืองโดยเป็นที่ปรึกษาของ ศ.มารุต บุนนาค อดีตประธานสภา ต่อมาได้เป็นที่ปรึกษา นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมช.การคลัง ในรัฐบาล “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก่อนจะมาเป็นที่ปรึกษา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รมว.มหาดไทย ในรัฐบาลชวน 2
นายเอนกสนิทกับ เสธ.หนั่นอย่างมาก เขาเป็นเหมือนตัวแทนของเสธ. ตอนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเมื่อศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. นายเอนกเคยเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก่อนจะลาออกเมื่อ พล.ต.สนั่นมีความขัดแย้งกับพรรค
ต่อมาจึงได้ร่วมกันตั้งพรรคมหาชน แต่ผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ปรากฏว่าพรรคมหาชนได้มาเพียง 2 ที่นั่ง จากนั้นเขาจึงลาออก
ต่อมาปี 2550 เขาได้ตั้งพรรคการร่วมใจไทยพัฒนา กระนั้นก็ลาออกในเวลาต่อมา
หลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คสช. ได้ตั้งแม่น้ำ 4 สาย ปรากฏว่าชื่อของนายเอนกผงาดขึ้นเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ควบตำแหน่งประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง ในสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คณะกรรมการชุดนี้ได้ศึกษาปัญหาทางการเมือง ก่อนสรุปประเด็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเป็นข้อๆ
1. การสร้างความเข้าใจร่วมของสังคมต่อเหตุแห่งความขัดแย้ง
2. การแสวงหาและเปิดเผยข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ความรุนแรง
3. การอำนวยความยุติธรรม การสำนึกรับผิดและการให้อภัย
4. การเยียวยาและการฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ
5. การสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกัน
6. มาตรการป้องกันการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
ทำงานได้ 1 ปี สปช. ก็ถูกยุบในเดือนกันยายน 2558 ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2560 เส้นทางชีวิตก็พาเขากลับมาที่เดิม เพราะได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่มี พล.อ.ประวิตร รับผิดชอบดูแล
ก่อนที่จะมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ในเดือนสิงหาคม 2560 เมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปด้านการเมือง วาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี
จะเห็นว่าที่ผ่านมา นายเอนกทำงานร่วมกับรัฐบาลและ คสช. มาโดยตลอด จึงไม่แปลกที่เขาจะเชื่อมั่นว่างานของ คสช. จะสำเร็จลุล่วง
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วทุกอย่างกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะต้องไม่ลืมว่ารัฐประหารครั้งล่าสุดนี้ นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในอดีตแล้ว ยังกลับซ้ำเติมแผลเก่าให้เจ็บลึกลงไปอีก แน่นอนในบรรยากาศเช่นนี้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลไม่สามารถพูดอะไรได้มาก แต่นั่นก็เท่ากับเหยียบปัญหาไว้ใต้พรม
ผนวกทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วมองได้ว่า “เงื่อนไขพิเศษ” ที่นายเอนกหมายถึงคือ คสช. กุมอำนาจไว้นานพอที่จะลดความบาดหมางทางการเมืองลงได้ เพราะ “เงื่อนไขพิเศษ” นี้ นอกจากจะมีคณะกรรมการปฏิรูปที่นายเอนกรวมอยู่ด้วยแล้ว ยังมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ, ส.ว.สรรหา 250 คน โดยทั้งหมดนี้จะอยู่ในวาระนานถึง 5 ปี และนี่ยังไม่รวมนายกฯ คนนอก ที่รัฐธรรมนูญเปิดทางไว้
และปฏิเสธไม่ได้ว่าการหนีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นเพิ่มความชอบธรรมแก่รัฐบาลและ คสช. เพราะสามารถอ้างได้ว่า “ถ้าไม่ผิดเหตุใดต้องหนี” หรือแสดงว่า “หนีเพราะรู้แน่ชัดว่าศาลจะตัดสินอย่างไร”
ที่สำคัญการหนีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ย่อมจะทำให้พลังฝ่ายตัวเองอ่อนแรงลง ซึ่ง 5 ปี คงมากพอที่จะถูกกดให้อ่อนแอ จนไม่เหลือพลังทางการเมือง