ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 มกราคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
AI ณ ปี 2041
: มนุษย์จะอยู่ตรงไหน?
ผมหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านเพราะเคยชอบที่ Kai-Fu Lee เขียนหนังสือเล่มก่อนว่าด้วย AI Superpowers ที่แกทำนายเรื่อง “ปัญญาประดิษฐ์” ไว้ก่อนข้างแม่นยำ
โดยเฉพาะประเด็นว่าด้วยความสามารถของจีนที่จะแข่งกับอเมริกาในเรื่อง Artificial Intelligence (AI)
พอเห็นเล่มใหม่ที่แกทำนายว่า AI จะมีบทบาทเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงอย่างพวกเราอย่างไรในอีก 20 ปีข้างหน้า ผมก็กระโจนเข้าใส่ทันที
ถามว่ามีอะไรใหม่กว่าที่เคยอ่านจากกูรูเรื่องนี้มากไหม?
โดยภาพรวมข้อสรุปของแกกับเพื่อนร่วมเขียนหนังสือเล่มนี้ Chen Quifan นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์มีความละม้ายกับแนวคิดของค่ายอื่นๆ
แต่ที่ทำให้ผมอ่านด้วยความละเมียดละไมเป็นพิเศษคือตอนท้ายหนังสือที่แกสรุปออกเป็นสองแนวทาง
คือ Plenitude กับ Singularity
เป็นสองหัวข้อใหญ่ที่ทำให้ผมต้องมานั่งคิดต่อให้ปวดหัวหนักยิ่งขึ้น
เพราะผมไม่ได้มีพื้นด้านวิทยาศาสตร์หรือคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีอะไรเลย
มีแต่ความอยากรู้อยากเห็น
และพยายามเชื่อมทุกอย่างที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของยุคนี้กับปรัชญาชีวิตและแนววิเคราะห์ศาสนา
พูดง่ายๆ คือ ผมอยากจะเปรียบเทียบสิ่งที่เทคโนโลยีจะทำกับมนุษย์กับสิ่งที่จะเกิดกับ “ความเป็นมนุษย์”
ตรงนี้แหละที่หนังสือเล่มนี้พยายามหาคำตอบ
ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำ (เพราะใครก็ตามที่อ้างว่า “ข้าฯ รู้คำตอบแล้ว” ย่อมแปลว่าเขาผู้นั้นเข้าข่ายผู้อวดรู้เกินมนุษย์มนาแน่นอน)
แต่การยกเอาเหตุผลและหลักฐานที่มีอยู่วันนี้ประกอบกับจินตนาการในฐานะนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ช่วยให้เราคิดต่อยอดอะไรต่อมิอะไรได้อีกมากมาย
นี่กระมังคือคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ที่ผมได้เต็มๆ
คําว่า Plenitude หมายถึงความสมบูรณ์พูนสุข
หาก AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องทำอะไรต่างๆ นานาตามที่กล่าวอ้างได้ สังคมของคนก็จะมีความพร้อมเพรียงอย่างน้อยก็ทางวัตถุมากขึ้นอย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก
ในคำพยากรณ์ของนักเขียนทั้งสองนั้น “โลกแห่งความเพียบพร้อม” นี้จะทำให้เกิด
ความมั่งคั่งทางวัตถุอย่างล้นเหลือ
เพิ่มความสามารถด้านต่างๆ อันเกิดจากการผสมผสานของมนุษย์กับเอไอ
ธรรมชาติของการทำงานก็คล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างชัดเจน
ความสามารถในการสื่อสาร, แสวงหาความบันเทิงและการเล่นเพื่อความเพลิดเพลินจะก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ
มนุษย์จะมีอิสรภาพจากการที่ไม่ต้องทำงานจำเจอีกต่อไป
แต่ขณะเดียวกันมันก็พร้อมกับความเสี่ยงและความท้าทายมากมายหลายประการ เช่น
อคติต่อเพื่อนร่วมโลกในทุกรูปแบบ
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรุนแรง
Deepfakes หรือการสร้างภาพลวงที่สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างหนักหน่วงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อวิถีชีวิตของสังคมมนุษย์อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ใน “นิทาน” 10 เรื่องที่รังสรรค์ขึ้นในหนังสือเล่มนี้ คนเขียนทั้งสองพยายามจะชี้ว่าแม้จะมีความเสี่ยงและอันตรายอย่างมาก แต่มนุษย์ก็มีทางป้องกันและแก้ไขมหันตภัยนี้
เพราะความชั่วร้ายที่เกิดนั้นมิใช่ AI กระทำต่อมนุษย์ หากแต่เป็นเพราะมนุษย์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เหล่านั้นเพื่อเป้าหมายที่อันตรายและเห็นแก่ตัว
มนุษย์ป้องกันและแก้ไขสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ได้ด้วย
ความคิดสร้างสรรค์
สติและปัญญา
ความเอื้ออาทรต่อกัน
ความอดทน
ความยับยั้งชั่งใจ
และความรักต่อเพื่อนร่วมโลก
มนุษย์ต้องมีความหวังต่ออนาคตของโลกเพราะโดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ต้องรักและทะนุถนอมคุณสมบัติที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อความเป็นคน นั่นคือ
การรักความยุติธรรม
ความสามารถในการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด
ความกล้าที่จะฝัน
และความศรัทธาต่อความเป็นมนุษย์ด้วยกัน
ที่สำคัญคือ ในเรื่องราวที่เกี่ยวกับอิทธิพลของ AI ต่อชีวิตของเรานั้น มนุษย์จะไม่เป็นเพียง “ผู้ชมที่นั่งอยู่ข้างเวที”
หากแต่จะเป็น “ผู้เขียนบท” ให้ภาพยนตร์เกี่ยวกับอนาคตมนุษย์ด้วยตนเอง
ทุกอย่างจึงอยู่ที่เรา
หนังสือจบลงด้วยการบอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิธีคิดของคน
“ถ้าเราเชื่อว่า AI จะทำให้เรากลายเป็นพลเมืองไร้ค่า เรายอมจำนนให้มันทำอะไรกับเราก็ได้เมื่อมันสามารถขยับขยายความสามารถของมัน (ด้วยฝีมือมนุษย์เอง) เราก็จะทำตัวเองให้หมดโอกาสที่จะสร้างอนาคตใหม่ให้กับตัวเอง
“แต่หากเรามีความพออกพอใจกับความมั่งคั่งทางวัตถุที่เกิดจาก AI ไม่ขวนขวายเสริมสร้างสติปัญญาของเราและยกระดับความเชื่อมโยงกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง เราก็จะระงับยับยั้งวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์
“หากเราท้อแท้และยอมให้ AI ยึดครองทุกพื้นที่ทางความคิดและกิจกรรมของมนุษย์เพราะกลัว Singularity ของ AI จะมาล่าอาณานิคมของมนุษย์ เราก็จะหมดสภาพ เข้าสู่คิมหันต์แห่งความหมดหวัง…ไม่ว่ายุคยึดครองเบ็ดเสร็จหรือ Singularity จะมายึดครองมนุษย์หรือไม่ก็ตาม…”
คําว่า Singularity หมายถึงภาวะ “เอกฐาน” ทางเทคโนโลยี
หมายถึงช่วงเวลาที่ถูกคาดการณ์ขึ้น ในพัฒนาการของอารยธรรม ที่เทคโนโลยีพัฒนาได้รวดเร็วเกินกว่าที่มนุษย์ในปัจจุบันจะสามารถทำความเข้าใจได้ หรือคาดการณ์ได้
ถึงจุด Singularity ก็แปลว่าปัญญาของ AI อยู่เหนือปัญญามนุษย์
หรืออีกนัยหนึ่งหากถึงจุดนั้น AI ก็จะกระชากอำนาจการกำหนดชะตากรรมของโลกไปจากมนุษย์
คนที่ฝันว่าโลกแห่ง Singularity คือโลกที่มนุษย์จะปลดเปลื้องปัญหาทั้งสิ้นทั้งปวงเพราะเทคโนโลยีจะสามารถแก้ปมเงื่อนของปัญหาได้ทั้งหมด
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ยังมีความเห็นที่แปลกแยกกันไปคนละทาง
ผู้มองโลกในแง่ดีบอกว่าโลกที่ AI เป็นใหญ่จะช่วยมนุษย์ให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์อนาคตหลายค่ายยืนยันว่าหาก AI ฉลาดกว่ามนุษย์เมื่อใด มนุษย์ก็จะมีอันหมดสภาพ กลายเป็นทาสของ AI ที่จะเป็นผู้สั่งการให้มนุษย์ต้องทำในสิ่งที่เป็นอันตรายกับตนเอง
มนุษย์จะกลายเป็นผู้ยอมจำนวนเทคโนโลยีอย่างน่าสะพรึงกลัวทีเดียว
หนังสือเล่มนี้วิเคราะห์เทคโนโลยีที่จะก่อความปั่นป่วนในวงการต่างๆ ทั้งหลาย เช่น การเรียนรู้เชิงลึก, บิ๊กดาต้า, การศึกษา, การดูแลสุขภาพ, โลกเสมือนจริง, เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม, ยานยนต์อัตโนมัติ, คอมพิวเตอร์ควอนตัม และทุกกิจกรรมของมนุษย์ที่กำลังถูก disrupted อย่างรุนแรง
นักเขียนทั้งสองเดินด้วยเรื่องสั้นที่สมมุติสถานการณ์ในปี 2041 ที่ซานฟรานซิสโก โตเกียว มุมไบ โซล และมิวนิก
อ่านแต่ละเรื่องสั้นก็คิดตามไปด้วยจินตนาการว่าโลกจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ
ใจหนึ่งก็ไม่เชื่อ อีกใจหนึ่งก็โน้มเอียงจะเชื่อ
ต้องคอยเตือนตัวเองว่าครั้งหนึ่งเราก็ไม่เชื่ออะไรหลายอย่างว่ามันจะเกิดขึ้นได้
จนวันนี้สิ่งที่คนเคยบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” มันก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้วจริงๆ
(สัปดาห์หน้า : มนุษย์กับ AI ใครจะควบคุมใคร?)