ส่องศึกเลือกตั้งซ่อมหลักสี่ วัดใจสนามการเมืองคนกรุง สะท้อนความนิยมพรรค ‘เก่า-ใหม่’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

ส่องศึกเลือกตั้งซ่อมหลักสี่

วัดใจสนามการเมืองคนกรุง

สะท้อนความนิยมพรรค ‘เก่า-ใหม่’

 

สนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.แทนตำแหน่งที่ว่าง นอกจากที่เขต 1 ชุมพร และเขต 6 สงขลา จะคึกคักมีหลายพรรคการเมืองส่งผู้สมัครลงชิงเก้าอี้กันแล้ว ยังมีการเลือกตั้งซ่อมเขต 9 หลักสี่-จตุจักร (แขวงเสนานิคมแขวงจันทรเกษมและแขวงลาดยาว) แทน “สิระ เจนจาคะ” อดีต ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ก็ดูจะคึกคักและดุเดือดกว่า

แต่ละพรรคหวังใช้สนามเลือกตั้งซ่อมหลักสี่เป็นฐานวัดความนิยม หรือการยอมรับจากคนกรุง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเลือกตั้งสนามใหญ่ที่จะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้ได้

เพราะทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ “สิระ” หลุดจากความเป็น ส.ส.เท่านั้นแหละ บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ เริ่มทยอยเปิดตัวผู้สมัครลงชิง ส.ส.กันทันทีอย่างคึกคัก

ชนิดไม่สนเจ้าของพื้นที่เดิม

 

โดยเจ้าของพื้นที่เดิมพรรคพลังประชารัฐ ส่งภรรยานายสิระลงชิง คือ “เจ๊หลี” นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ที่นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง มั่นอกมั่นใจว่าได้รับชัยชนะแน่ เพราะเป็นเครือข่ายคนในครอบครัว และนายสิระเองก็ทำพื้นที่มาตลอดจนได้รับความนิยมจากชาวหลีกสี่เป็นอย่างดี

ส่วนพรรคเพื่อไทย ที่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ผู้สมัครของพรรคที่มีคะแนนมาเป็นอันดับสอง แม้พรรคจะยังไม่มีมติเคาะว่าจะส่งคนเก่าคนใหม่ แต่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ประกาศเลยว่าถ้าไม่มีใครแสดงความจำนงอยากลงแข่งขัน ชื่อ “สุรชาติ เทียนทอง” เจ้าของคะแนนอันดับสอง และอดีตแชมป์ ส.ส.ปี 2554 น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่ทิ้งพื้นที่

และสุดท้ายกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยก็มีมติส่ง “สุรชาติ” ซึ่งเป็นผู้มีความเหมาะสมลงชิงชัย และเป็นคนทวงตำแหน่ง ส.ส.คืนมาให้พรรคเพื่อไทย เพราะทำงานในพื้นที่ทุกวันตั้งแต่ปี 2554

โดยไม่สนพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านด้วยกัน ส่งดาราดัง “เพชร” กรุณพล เทียนสุวรรณ สวมเสื้อสีส้ม ชิมลางการเข้าสู่วงการการมือง

และเมื่อประกาศตัว “เพชร” ก็ไฟแรงลงพื้นที่หาคะแนน ที่ตลาดประชานิเวศน์ 1 ทันที ไม่หวั่นไหวว่า “สุรชาติ” เป็นสายแข็งในเขตนี้

 

ส่วนพรรคที่ยังไม่มี ส.ส.ในสภา ก็หวังใช้พื้นที่หลักสี่ชิงเก้าอี้ ส.ส.มาเป็นของตัวเอง จะได้เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนในสภาบ้าง

เช่น พรรคกล้า ที่ตัดสินใจส่ง “อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี” เลขาธิการพรรค ไปลุยเอง หวังทวงคืนเก้าอี้เขตนี้จากเมื่อ 14 ปีก่อน ท่ามกลางเสียงทักท้วงว่าการส่งแม่ทัพลงแข่งครั้งนี้ อาจได้ไม่คุ้มเสีย

แต่เจ้าตัวยืนยันมีความผูกพันกับคนในพื้นที่มานาน และอยากให้ประชาชนเห็นว่าพรรคกล้ามีความพร้อม ไม่เว้นแม้แต่ผู้บริหารพรรค ซึ่งลงหาเสียงที่ตลาดประชานิเวศน์ 1 ทันทีเช่นกัน

หรือแม้แต่พรรคไทยภักดีของ นพ.วรงศ์ เดชกิจวิกรม ก็เปิดตัว “พันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์” ผู้บริหารระดับซีอีโอบริษัทร่วมทุนในต่างประเทศ ลงชิมลางด้วยเช่นกัน โดยหวังคะแนนสนับสนุนจาก กปปส. และเชื่อว่าประชาชนเรียกร้องนักการเมืองรุ่นใหม่ให้มาทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เพราะเบื่อนักการเมืองเก่าที่ทำสภาล่มตลอด

 

ทั้งนี้ หากเอาชื่อว่าที่ผู้สมัครเขต 9 หลักสี่ ของแต่ละพรรคมาเรียงต่อเป็นวงกลม จะเห็นว่ามีช่องว่างให้เติมอยู่ 1 ช่อง นั่นคือ ชื่อผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ ที่หลายคนต่างจับจ้องว่าจะส่งใครกันแน่ ท่ามกลางกระแสข่าวว่ายอมถอยไม่ส่งผู้สมัครชิงในเขตนี้ โดยอ้างมารยาททางการเมืองที่ต้องเปิดทางให้พรรคอันดับหนึ่งลงแข่ง

จนมีหลายฝ่ายซุบซิบกันว่า การรักษามารยาทที่ว่าเป็นข้ออ้าง หรือมีอะไรมากกว่านั้นหรือไม่ เพราะการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาทั้งที่นครศรีธรรมราช หรือแม้แต่ จ.สงขลาและชุมพร พรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐยังไม่รักษามารยาทเลย ดังนั้น ประชาธิปัยต์ก็ไม่ควรต้องรักษามารยาทเช่นกัน

ขณะที่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกแบบกั๊กๆ อ้างว่า พรรคจะพิจารณาตามความเหมาะสม ไม่ใช่ว่าพื้นที่ใดมีเก้าอี้ว่างก็จะส่งผู้สมัครลงในทุกเขต แต่จะดูว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่เดิมของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ เพราะหากแข่งกันเองก็จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้

แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะประกาศออกมาแล้วว่าเปิดสมัครรับวันที่ 6-10 มกราคม 2565 และเลือกตั้งวันที่ 30 มกราคม 2565 “องอาจ คล้ามไพบูลย์” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแล กทม. บอกตอนนี้พรรคยังไม่เคาะส่งใครลงรับเลือกตั้ง เพราะยังมีเวลาให้ตัดสินใจอีก เอาไว้หลังปีใหม่ค่อยว่ากัน และจะรู้ผลก่อนวันรับสมัคร 6-10 มกราคมแน่นอน

ถ้าส่งก็ต้องเป็น “ผู้การแต้ม” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ เจ้าของพื้นที่ ที่คราวที่แล้วได้คะแนนมาเป็นอันดับ 4 เพราะลงพื้นที่ตลอด

“องอาจ” ยังบอกอีกว่า การจะส่งผู้สมัครหรือไม่ ต้องคิดให้รอบด้าน เพราะหากคะแนนเป็นรองอาจถูกหยิกยกมาโจมตีได้ และไม่ได้กังวลว่าจะต้องแบ่งคะแนนกับ “อรรถวิชช์ ” ซึ่งเป็นอดีตประชาธิปัตย์เก่า เพราะอรรถวิชช์ห่างจากเขตนี้มา 14 ปีแล้ว

จึงไม่น่าจะมีผลอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์

 

ส่วน พล.ต.ต.วิชัย หรือ “ผู้การแต้ม” ยอมรับว่า เอาจริงๆ ตอนนี้พรรคยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะส่งลงแข่งหรือไม่ แต่ถ้าให้ก็พร้อมอยู่แล้ว เพราะทำพื้นที่มาหนักมาก ไม่ได้ทิ้งพื้นที่เลย แต่หากพรรคไม่ส่งลงเราก็เข้าใจพรรค เพราะพรรคยึดหลักมารยาททางการเมือง ทั้งที่พรรคอื่นไม่มีมารยาท

“ผู้การแต้ม” บอกอีกว่า ถ้าได้ลงแข่ง มั่นใจว่าคะแนนจะดีขึ้น จากครั้งที่แล้วได้ 1.6 หมื่นคะแนน มาเป็นที่ 4 ครั้งนี้เชื่อว่าคะแนนจากบ้านมีรั้วจะกลับมา เพราะผมมีชื่อเสียงแต่ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงเสีย แต่ก็กังวลคะแนนจากชุมนุม ซึ่งมีการแข่งขันกันหนักมาก และไม่ได้กลัวว่าจะกระทบกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.

“ดังนั้น คงต้องรอพรรคมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคก่อนว่าจะเอาอย่างไร แต่ทางผู้ใหญ่มีการเปรยว่าจะให้ไปทำงานใหญ่ อาจจะให้ไปช่วยงานผู้ว่าฯ กทม. เพราะขณะนี้ ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ได้เสียงตอบรับเป็นที่น่าพอใจ” พล.ต.ต.วิชัยระบุ

จึงมีความเป็นไปได้ว่าข่าวลืออาจเป็นจริง ประชาธิปัตย์ไม่ส่งผู้สมัครลงชิงเก้าอี้ ส.ส.หลักสี่ เพราะการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีผู้สมัครจากหลายพรรคการเมือง คะแนนที่ออกมาอาจกลายเป็นเบี้ยหัวแตก วัดอะไรไม่ได้ แต่ก็เป็นสนามเลือกตั้งที่ชี้ให้เห็นอะไรได้หลายอย่าง รอหลังปีใหม่ ว่ามีชื่อใครบ้าง ที่คนหลักสี่ต้องใช้สิทธิ์เลือก

ผลแพ้-ชนะจะเป็นอีกตัวชี้วัดสำคัญทางการเมืองทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และการเลือกตั้งใหญ่