ไทม์เอาต์

Red Monster

 

ลูปเซฟเก้าอี้ ‘โซลชาร์’

ความคุ้นเคยที่ไม่ควรคุ้นชิน

 

นับเป็นช่วงเวลาที่คุ้นชินเหลือเกินสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด กับการเซฟเก้าอี้หน้าปากเหวของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์

หลังจากแพ้ ลิเวอร์พูล แบบหมดท่าในโอลด์ แทรฟฟอร์ด 0-5 กระแสต่างถาโถมอยากให้ปลดโซลชาร์เสียที สถิติตอนนั้น ผีแดงไร้ชัย 4 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ภาพรวมในลีกก็ชนะเพียง 2 จาก 7 เกมล่าสุด

เมื่อมีลูปแห่งความกดดันราวจ่อโดนเชือด ก็ถึงคิวของโอเล่ที่พาทีมโชว์ฟอร์มสวยหรูฝ่าวิกฤตอีกครั้ง ด้วยการบุกชนะ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 3-0

แมตช์กับไก่เดือยทอง สร้างเซอร์ไพรส์ตั้งแต่จัดตัวผู้เล่น ด้วยแผน 3-5-2 หรือ 3-4-1-2 โดยมีหน้าคู่อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เอดินสัน คาวานี่ ซึ่งทั้งคู่ก็ซัดคนละ 1 ประตู บวกกับอีก 1 ลูกจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด ตัวสำรอง ตอกย้ำชัยชนะเหนือสเปอร์สที่ฟอร์มวูบ ยิงไม่ตรงกรอบแม้แต่ครั้งเดียว

นับเป็นสูตรจัดทีมที่น่าสนใจ ว่าจะกลายเป็นอาวุธใหม่ที่น่ากลัวให้กับทีมได้ในระยะยาวหรือไม่

 

แกรี่ เนวิลล์ ระบุถึงการรปรับแผนและการเล่นในแมตช์ดังกล่าวว่า ระยะยืนตั้งแต่แนวรับยันกองหน้ามีความใกล้กันมากขึ้น ต่างจากเกมก่อนๆ ที่ยืนห่างกันกว่านี้ จนทำให้ขาดการเชื่อมเกมกัน

อดีตแบ๊กขวาผีแดงบอกอีกว่า ราฟาเอล วาราน กองหลังชาวฝรั่งเศส เติมเต็มให้แผงแนวรับมีความนิ่งมากขึ้นกับการเล่นกองหลัง 3 ในนัดนี้ ส่วนคาวานี่ก็มีแคแร็กเตอร์ที่กระหายแบบสุดสุด สู้สุดตัวในทุกจังหวะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายหรือลดน้อยลงในทีมเวลาที่หอกรายนี้ไม่ได้ลงสนาม ขณะที่โรนัลโด้นั้นจบสกอร์ได้ยอดเยี่ยมสุดสุด ซึ่งโรนัลโด้ต้องการคู่หู และระบบการเล่นก็เสริมสิ่งนั้น เห็นได้จากการประสานงานที่ยอดเยี่ยมระหว่างโรนัลโด้และคาวานี่

เพราะเหล่าแนวรุกจะสร้างโอกาสและยิงประตูอยู่เสมอ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการความมั่นใจ นั่นคือการป้องกันที่ดีจากเพื่อนร่วมทีมด้วย

 

เชื่อไหมว่า การพลิกสถานการณ์ที่น่าทึ่ง หรือการเซฟเก้าอี้โซลชาร์กับผีแดงเกิดขึ้นมาแล้วราว 11 ครั้ง จากการรายงานของอีเอสพีเอ็น

ในจำนวนนั้น มีเกมบุกชนะ *เปแอสเช* 3-1 ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีม เมื่อ 6 มีนาคม 2019 ทำให้โกงตายจากการแพ้คาถิ่น 0-2 เข้ารอบต่อไปด้วยกฎประตูทีมเยือน จากสกอร์รวม 3-3 และหลังจากนั้นไม่นาน โซลชาร์ก็ได้เลื่อนขั้นจากคุมชั่วคราวเป็นกุนซือทีมแบบเต็มตัว

ไหนจะช่วงที่แมนฯ ยูซึ่งจบซีซั่น 2018-2019 ด้วยการไร้ชัย 6 แมตช์หลังสุด และแต้มห่างแชมป์ลีกอย่าง *แมนฯ ซิตี้* ถึง 32 คะแนน ก่อนเข้าซีซั่น 2019-2020 จะกู้สถานการณ์อัด *เชลซี* 4-0 เมื่อ 11 สิงหาคม 2019 ในเกมแรกที่ *แฟรงก์ แลมพาร์ด* เข้ามาทำทีม

ในปี 2020 ผีแดงเปิดซีซั่น 2020-2021 โดยแพ้ทั้ง 2 เกมแรกในบ้าน คือแพ้พาเลซ 1-3 กับโดนสเปอร์สบุกถ่มยับ 6-1 หลังจากนั้นก็ฟอร์มผีเข้าผีออก ในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มกับเปแอสเช, ไลป์ซิก และอิสตันบูล บาซัคเซฮีร์ ชนะ 3 แพ้ 3 จบที่ 3 กลุ่มหล่นไปเล่นยูโรป้าลีก แต่ในช่วงนั้นก็มีเกมกู้ชีพในพรีเมียร์ลีก ที่แม้โดนเอฟเวอร์ตันออกนำก่อน แต่ผีแดงก็แซงกลับมาชนะได้ 3-1

ส่วนปีนี้ 2021 ก็มีช่วงอาการหนัก แพ้ยังบอยส์ 1-2 ประเดิมศึกแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม แม้ต่อจากนั้นจะชนะเวสต์แฮมในลีก 2-1 แต่ก็มาโดนขุนค้อนล้างแค้นทันควันอัด 1-0 ตกรอบ 3 คาราบาวคัพ และแพ้แอสตัน วิลล่า 0-1 ในลีกผู้ดีอีก

กระทั่งวนกลับมาที่ถ้วยบิ๊กเอียร์นัดที่ 2 ก่อนโกงตายแซงชนะบียาร์รีลในช่วงทดเวลา 2-1 เมื่อ 29 กันยายน

 

ทั้งนี้ แม้แมตช์ทุบสเปอร์ส 3-0 ถือเป็นแมตช์เซฟเก้าอี้โซลชาร์ แต่กุนซือไก่เดือยทองอย่าง *นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต* ก็โดนปลดจากตำแหน่ง หลังจากทำงานได้เพียง 17 นัด

ดังนั้น โซลชาร์เองก็ไม่อาจวางใจได้นัก หากยังทำทีมวนลูปผีเข้าผีออก หาความแน่นอนไม่เจอ ความอดทนของบอร์ดก็อาจจะหมดลงในสักวัน

เพราะมาตรฐานที่แมนฯ ยูควรจะเป็นนั้น ต้องแข็งแกร่งสม่ำเสมอ เป้าหมายคือล่าแชมป์ มากกว่าจะสามวันดีสี่วันไข้ เอาตัวรอดวนไปเช่นนี้