2503 สงครามลับ สงครามลาว (49)/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

2503 สงครามลับ

สงครามลาว (49)

 

การเข้าตีของฝ่ายเวียดนามเหนือต่อที่มั่นทหารไทยที่บ้านนาคืบหน้าไปตามลำดับ

“กำลังของเราเริ่มเข้าโจมตีพื้นที่ที่หมายที่ 2 โดยเคลื่อนที่เข้าไประชิดขอบรั้วลวดหนามและเร่งขุดหลุมบุคคลเข้าไปใกล้การวางกำลังของข้าศึก ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลังและเครื่องยิงระเบิดระดมยิงที่หมายได้อย่างแม่นยำจนสามารถทำลายที่ตั้งปืนกลของข้าศึกได้ 3 แห่ง รวมทั้งยิงกดที่ตั้งปืนกลอื่นๆ ของข้าศึกจนไม่สามารถยิงตอบโต้ได้ ระหว่างการเข้าตีที่หมายที่มั่นแข็งแรงที่ 3 ในพื้นที่ที่หมายที่ 2 แห่งนี้ การยิงตอบโต้จากข้าศึกเป็นไปอย่างเบาบาง

เราติดตามความคืบหน้าจากแนวรบติดต่อกันไปจนถึงเช้าวันใหม่ กำลังของเราสามารถเจาะฝ่าแนวลวดหนามของข้าศึกไปได้อีก 2 ชั้น จนสามารถยึดแนวคูติดต่อในที่มั่นแข็งแรงที่ 5 และ 9 และต่อมาก็สามารถเจาะแนวลวดหนามชั้นสุดท้ายจนสามารถทำลายหลุมปืนกลได้อีก 3 แห่ง

เรายังไม่ได้รับรายงานจากที่หมายที่มั่นแข็งแรงที่ 11 แต่อย่างใด ส่วนในพื้นที่ที่หมาย 1 ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบังคับการถูกทำลายอย่างหนักจากกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายเรา คลังสิ่งอุปกรณ์ตกอยู่ในเปลวเพลิง ที่ตั้งปืนใหญ่ก็เสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถยิงสนับสนุนได้ เราไม่ได้เห็นการยิงของปืนใหญ่เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ ส่วนกำลังข้าศึกในที่พื้นที่ที่หมาย 3 ยังคงนิ่งเงียบและไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ฝ่ายอำนวยการของเราประมาณสถานการณ์ว่า หน่วยของเราปฏิบัติการรบได้อย่างดีเยี่ยม และหากยังรักษาน้ำหนักการรุกระดับนี้ไว้ได้ เราก็สามารถเตรียมการเข้าตีแตกหักด้วยกำลังกองร้อยที่ 1 และกองร้อยแซปเปอร์ 19 เพื่อเข้ายึดที่หมายที่มั่นแข็งแรงที่ 3 ได้ในคืนนี้

ข้าพเจ้าเห็นด้วยแล้วสั่งการให้เตรียมการปฏิบัติได้ ข้าพเจ้ากำชับให้หน่วยเข้าโจมตีทั้งสองตรวจสอบและเพ่งเล็งเป็นพิเศษต่อการเข้าโจมตีข้าศึกที่ประจำอยู่ในแนวคูรบและบังเกอร์ใต้ดิน

ส่วนเวลาเข้าปฏิบัติการนั้นให้รอแสงสว่างจากดวงจันทร์ซึ่งจะเป็นเวลาประมาณ 21.00 น.”

 

“ที่หมายแตกหัก : ที่มั่นแข็งแรงที่ 3”

แผนการปฏิบัติเป็นส่วนรวมในการเข้ายึดที่หมายนี้จะเริ่มด้วยการระดมยิงเตรียมของปืนใหญ่ติดต่อกันเป็นเวลา 3 นาทีต่อที่มั่นแข็งแรงที่ 3 เป็นลำดับแรก แล้วให้เลื่อนฉากการยิงไปยังที่หมายที่มั่นแข็งแรงที่ 5 และ 9

เสร็จสิ้นการยิงเตรียมของทหารปืนใหญ่ จากนั้นกำลังของเราก็จะเปิดฉากบุกเข้าสู่ที่หมายที่มั่นแข็งแรงที่ 3 ทันที ทั้งนี้ต้องไม่รีบร้อนหรือชักช้าลังเล เพราะขณะที่เลื่อนฉากการยิงไปยังพื้นที่เป้าหมายอื่นนั้น หน่วยในแนวหน้าของเราต้องฉวยโอกาสเข้าบุกทันที ก่อนข้าศึกจะตั้งตัวได้

เราต้องรีบรุกเข้าประชิดที่หมายที่มั่นแข็งแรงที่ 3 นี้ให้เร็วที่สุด เพื่อทำลายทั้งที่ตั้งอาวุธหนักและบังเกอร์ใต้ดินของข้าศึก และในเวลาเดียวกันนี้ ข้าพเจ้าจะออกคำสั่งให้ปืนกล 12.7 ม.ม. ยิงกระสุนส่องวิถีขึ้นไปในท้องฟ้าเพื่อเป็นสัญญาณให้ส่วนโอบล้อมเคลื่อนที่ประชิดข้าศึกเข้าไปให้กระชับและใกล้ยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการเข้ามาของเฮลิคอปเตอร์ที่จะส่งกำลังหนุนเพิ่มเติมหรือรับคนบาดเจ็บกลับไป ยิ่งเราวางกำลังใกล้ข้าศึกเท่าใด ก็จะยิ่งปลอดภัยจากการทิ้งระเบิดและการระดมยิงจากเครื่องบินข้าศึกมากขึ้นเท่านั้น

การสู้รบเป็นไปอย่างรุนแรงตามลำดับจนถึงวันรุ่งขึ้น…

เวลา 15.00 น. ข้าศึกพยายามตอบโต้ฝ่ายเราอย่างสุดกำลัง ปืนใหญ่ต่อปืนใหญ่ยิงตอบโต้กันไปมา ทหารราบยิงต่อสู้กับทหารราบ ขณะที่ปืนกลหนัก 12.7 ม.ม.ของเราสามารถป้องกันการส่งเสบียงทางอากาศด้วยร่มชูชีพอย่างได้ผล เครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ทิ้งระเบิดแบบปูพรมรอบๆ พื้นที่บ้านนา ฝุ่นควันและเปลวไฟครอบคลุมพื้นที่อย่างหนาแน่น จนดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ สามารถรอดชีวิตอยู่ได้

“ที่มั่นแข็งแรงที่ 3” นี้ จะตรงกับที่มั่นของ “กองร้อยสุรินทร์” ซึ่งจะปรากฏอยู่ในบันทึก “นรกบ้านนา” ต่อไป

 

“เราผลัดกันเฝ้าติดตามสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วงทหารของเราในแนวหน้า ขณะเดียวกันก็คิดถึงการเข้าตีครั้งสุดท้ายต่อที่มั่นข้าศึกซึ่งจะต้องเกิดขึ้นในคืนนี้ ทุกครั้งหลังระลอกการโจมตีทิ้งระเบิดจากเครื่องบินของข้าศึก เราจะใช้โทรศัพท์สนามสอบถามไปยังหน่วยแนวหน้าสุดเพื่อขอทราบสถานการณ์หลังจากที่ได้รับคำตอบว่าทุกหน่วยยังคงปลอดภัย ทุกคนก็จะแสดงความดีใจออกมาจนเห็นได้ชัด”

เวลา 17.00 น. ฝ่ายยุทธการได้บรรยายสรุปสถานการณ์ซึ่งทำให้เสมือนยกภูเขาออกจากอกกองบังคับการเมื่อได้ทราบว่าทุกหน่วยยังคงปลอดภัย โดยเฉพาะที่มั่นแข็งแรงหมายเลข 3 ฝ่ายเราสามารถทำลายที่ตั้งปืนกลได้เพิ่มมากขึ้นอีก 4 แห่ง รวมทั้งสามารถตัดแนวลวดหนามป้องกันที่มั่นทุกๆ แนวเพื่อเปิดทางบุกเข้าประชิดที่หมาย

ขณะที่ข้าศึกต่างพากันถอนตัวจากแนวคูติดต่อชายขอบพื้นที่ป้องกันฐานแล้วเข้าไปหลบอยู่ในบังเกอร์ซึ่งอยู่ลึกเข้าไป

ร่มทิ้งสัมภาระที่เครื่องบินของข้าศึกนำมาทิ้งให้กับฝ่ายศัตรูในที่มั่นตกลงมารอบๆ ที่วางตัวของฝ่ายเรา มีทั้งเนื้อไก่สด มีทั้งขนมปัง รวมทั้งกะหล่ำปลีและหัวหอม ฯลฯ

มีเพียงแค่ 2 ร่มเท่านั้นที่ตกลงไปในพื้นที่หลังแนวรั้วลวดหนามของข้าศึก แต่ไม่มีทหารข้าศึกคนใดที่กล้าออกมาเก็บกู้สัมภาระเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์

 

บรรยากาศในกองบัญชาการยิ่งคึกคักขึ้นไปอีก ท้องฟ้าภายนอกเริ่มมืดสลัวเมื่อดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า หมอกบางๆ ปกคลุมทั่วพื้นที่ ส่งผลให้ทัศนวิสัยต่อพื้นที่บ้านนามีลักษณะจำกัดยิ่งขึ้น แต่เราก็ยังได้เห็นประกายไฟจากปากกระบอกอาวุธหนักของข้าศึกที่ยิงออกมาจากในฐาน

เวลา 19.00 น. กำลังของเราทุกพื้นที่เริ่มเคลื่อนที่รุกไปข้างหน้า พอถึงเวลา 20.00 น. ก็ได้รับรายงานจากที่ตรวจการณ์ ทั้งจากหน่วยที่อยู่ใกล้และอยู่ห่างไกลออกไป จากหน่วยทหารปืนใหญ่ จากกองร้อยทหารราบที่ 1 และกองร้อยแซปเปอร์ที่ 19 ทุกหน่วยรายงานตรงกันว่า พร้อมปฏิบัติการและเฝ้ารอคำสั่งเข้าตีเพื่อเข้าบดขยี้ที่มั่นแข็งแรงที่ 3 ของข้าศึก

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรวบรวมสมาธิ กับสถานการณ์เบื้องหน้า เสนาธิการกรม โด ฟู วัง ก็เข้ามาเตือนว่าถึงเวลาเปิดฉากการยิงแล้ว

ข้าพเจ้าเหลือบดูนาฬิกาแล้วสั่งเปิดฉากการยิงเพื่อเริ่มออกตีทันที ข้าพเจ้าได้ยินเสียงนายทหารยุทธการและพนักงานวิทยุถ่ายทอดคำสั่งออกไป และเพียงแค่ชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่และเครื่องยิงระเบิดปล่อยกระสุนออกไปเขย่าทั้งผืนป่าและขุนเขาของลาว…