Technical Time-Out : ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ประวัติศาสตร์ที่ไปไม่ถึง

ไทม์เอาต์ / SearchSri

 

ประวัติศาสตร์หน้าใหม่

ประวัติศาสตร์ที่ไปไม่ถึง

 

การแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลมสุดท้ายของปี รายการ ยูเอส โอเพ่น ที่ฟลัชชิ่ง มีโดว์ส นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา จากเดิมที่ใครๆ ก็คิดว่าน่าจะ “กร่อย” กลับมีปรากฏการณ์และประเด็นให้พูดถึงมากมาย

ก่อนแข่งรายการนี้ นักเทนนิสมือท็อปของโลกหลายคนต่างทยอยถอนตัวด้วยปัญหาเจ็บป่วยบ้าง เหตุผลส่วนตัวบ้าง ที่เด่นๆ ก็คืออดีตมือ 1 โลกอย่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, ราฟาเอล นาดาล, เซเรน่า วิลเลียมส์ รวมถึงแชมป์เก่าประเภทชายเดี่ยว โดมินิก ธีม

แต่เมื่อถึงเวลาแข่งขันจริง บรรยากาศไม่ได้ดร็อปลงอย่างที่หลายคนคาด

และเอาเข้าจริงก็ทั้งสนุกและน่าตื่นตาตื่นใจสมกับที่ฟลัชชิ่ง มีโดว์ส ได้ต้อนรับแฟนๆ กลับเข้าสู่สนามหลังต้องปิดสนามแข่งเมื่อปีที่แล้วเนื่องจากสถานการณ์โควิดด้วยซ้ำ

 

ในประเภทหญิงเดี่ยว จากที่เก็งๆ กันว่า นาโอมิ โอซากะ แชมป์เก่า, แอชลีห์ บาร์ตี้ มือ 1 โลก หรือมือท็อปสักคนจะเข้าป้าย รอบชิงแชมป์กลับกลายเป็นการดวลกันระหว่าง 2 นักหวดสาววัยทีนที่แฟนเทนนิสไม่คุ้นเคย

คนหนึ่งคือ เลย์ลาห์ เฟอร์นานเดซ มืออันดับ 73 ของโลกชาวแคนาเดียน ที่มาอายุเต็ม 19 ปี เอากลางทางของการแข่งขันพอดี โดยเฟอร์นานเดซเป็นนักหวดคนแรกในรอบ 22 ปี ที่กรุยทางสู่รอบชิงโดยปราบมือวางท็อป 5 ของรายการได้ถึง 3 คน ทั้งนาโอมิ โอซากะ (มือวาง 3), เอลิน่า สวิโตลิน่า (5) และ อารีน่า ซาบาเลนก้า (2)

ส่วนอีกคนคือ เอ็มม่า ราดูคานู สาววัย 18 ลูกครึ่งโรมาเนีย-จีน สัญชาติสหราชอาณาจักร มืออันดับ 150 ของโลกที่มาจากรอบคัดเลือก

การพบกันของคู่นี้กลายเป็นรอบชิงแกรนด์สแลมที่มีนักหวดอายุไม่ถึง 20 ปีเข้าไปเจอกันเอง นับตั้งแต่เซเรน่า วิลเลียมส์ ในวัย 17 ปี เอาชนะ มาร์ติน่า ฮินกิส ตอนอายุ 18 ในรอบชิงยูเอส โอเพ่น ปี 1999 อีกทั้งยังเป็นคู่ชิงหญิงเดี่ยวแกรนด์สแลมครั้งแรกของยุคโอเพ่น (ตั้งแต่ปี 1968) ที่คู่ชิงไม่ใช่มือวางอันดับทั้งคู่อีกด้วย

สุดท้ายชัยชนะเป็นของราดูคานูพร้อมๆ กับประวัติศาสตร์เกิดใหม่มากมาย

 

เธอเป็นนักหวดจากรอบคัดเลือกคนแรกในประวัติศาสตร์ไม่ว่าชายหรือหญิงที่คว้าแชมป์ระดับแกรนด์สแลมมาครองได้สำเร็จ

เป็นแชมป์หญิงเดี่ยวแกรนด์สแลมคนแรกในรอบ 44 ปี จากสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่ เวอร์จิเนีย เวด คว้าแชมป์ วิมเบิลดัน ปี 1977

เป็นแชมป์ยูเอส โอเพ่น ที่ไม่เสียเซ็ตเลยคนแรกตั้งแต่เซเรน่าทำได้เมื่อปี 2014

และเป็นมืออันดับโลกต่ำที่สุดที่คว้าแชมป์แกรนด์สแลม นับตั้งแต่ คิม ไคลจ์สเตอร์ส อดีตมือ 1 หญิงโลก คัมแบ๊กหลังแขวนแร็กเก็ตและคว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่น ปี 2009

ความสำเร็จของทั้งคู่เป็นที่จับตามองของวงการเทนนิสโลกว่าอาจได้เวลาเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว

 

ด้านการแข่งขันประเภทชายเดี่ยว มีความคาดหวังมากมายกับ “ประวัติศาสตร์” ที่หาดูยากของวงการสักหลาดโลก นั่นคือการกวาดแชมป์ประเภทเดี่ยวระดับแกรนด์สแลมครบ 4 รายการ ในปีปฏิทินเดียวกัน

ที่ผ่านมามีนักเทนนิสเพียง 5 คนในประวัติศาสตร์ที่ทำได้ คือ ดอน บัดจ์ (ปี 1938), มอรีน คอนนอลลี่ (ปี 1953), ร็อด เลเวอร์ (ปี 1962 และ 1969), มาร์กาเร็ต คอร์ต (ปี 1970) และ สเตฟฟี่ กราฟ (ปี 1988)

ปีนี้ โนวัก โยโควิช มือ 1 โลกชาวเซอร์เบีย กวาดแชมป์แกรนด์สแลม 3 รายการแรกไปครองแล้ว ต้องการแค่แชมป์รายการนี้เพื่อเป็นนักหวดคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์ และนักเทนนิสชายคนแรกในรอบ 52 ปีที่ทำได้สำเร็จ

ก่อนหน้านี้ โนเล่เพิ่งพลาดโอกาสสำคัญในการเป็นนักเทนนิสคนที่ 2 ของโลก และนักเทนนิสชายคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้า “โกลเด้นสแลม” หรือกวาด 4 แชมป์แกรนด์สแลม กับเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ในปีเดียวกัน ที่มีเพียงสเตฟฟี่ กราฟ เท่านั้นที่ทำได้ในปี 1988

โนเล่ไปพลาดท่าพ่าย อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ ในรอบรองชนะเลิศ “โตเกียว 2020” เลยพลาดเหรียญทองโอลิมปิก แต่ก็ยังมาหวังกับการคว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่น อยู่

หลังจากล้างแค้นซเวเรฟได้ในรอบตัดเชือกที่นิวยอร์ก นึกว่าทุกอย่างจะไปได้สวย แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายให้ ดานีล เมดเวเดฟ มือ 2 ของโลกจากรัสเซีย 3 เซ็ตรวดในรอบชิง

โยโควิชไม่เพียงฝันสลายกับการกวาดแชมป์แกรนด์สแลม แต่การพลาดแชมป์นี้ยังทำให้แชมป์สแลมชายเดี่ยวของเขายังหยุดอยู่ที่ 20 ครั้ง เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ครองร่วมกับเฟเดอเรอร์และนาดาลอยู่ในขณะนี้

ด้วยฟอร์มในปัจจุบัน สถิติหลังนั้น โนเล่น่าจะยังมีโอกาสลุ้นอีกหลายครั้ง

แต่กับการกวาด 4 สแลมในปีเดียวที่ฝันสลายไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรโอกาสนั้นจะมาถึงอีกครั้ง!