ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 กันยายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
My Country Thailand
ณัฐพล ใจจริง
‘นักการเมือง’ (2478)
: คู่มือการหาเสียงของส.ส.ยุคแรก
“ข้าพเจ้าจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นโดยตั้งวัตถุประสงค์ไว้ว่า เพื่อชักชวนให้พี่น้องคนไทยทั้งหลายมีความรู้สึกในทางการเมืองมากขึ้นและเตรียมตัวเพื่อเป็นผู้แทนราษฎรในคราวต่อไป” (เขมชาติ บุญยรัตนพันธุ์, คำนำนักการเมือง)
ภายหลังการปฏิวัติ 2475 หนังสือการเมืองขณะนั้นเรียกร้องให้พลเมืองทุกคนช่วยกันปกป้องระบอบประชาธิปไตยจากภัยคุกคามว่า ประชาธิปไตยจะถาวรได้ ก็ต้องอาศัยปวงชนพลเมืองช่วยกันป้องกันและส่งเสริม
…เรามีหน้าที่ทางศีลธรรมและชุมชนที่จะต้องคอยป้องกันประชาธิปไตย แม้ด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ และไม่เพียงแต่ป้องกัน ยังต้องคอยส่งเสริมให้วัฒนาถาวร เพราะว่าการแตกดับของประชาธิปไตยย่อมหมายถึงการแตกดับแห่งสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรม ในปัจจุบันนี้ เราจะไปหารูปการปกครองอันใดที่นำพาในประโยชน์สุขของพลเมืองยิ่งไปกว่าประชาธิปไตยเป็นอันหาไม่ได้แล้ว
การปฏิวัติ 2475 คือการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากราชาธิปไตยไปสู่ประชาธิปไตย เป็นการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดไปสู่ประชาชนมีอำนาจสูงสุด โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดเหมือนหนึ่งการทำ “สังคมสัญญา”
ดังที่ปรีดี พนมยงค์ ตีความการปฏิวัติ 2475 คือ การทำสัญญาประชาคมให้พระมหากษัตริย์คืนอำนาจกลับสู่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอยู่แต่เดิมดังว่า การที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในฐานะผู้แทนระบอบราชาธิปไตยเหนือกฎหมายได้โอนอำนาจของระบบนั้นกลับคืนให้ปวงชนเป็นข้อตกลง คือสัญญาระหว่างระบบเก่ากับปวงชนชาวไทยที่จะได้สิทธิประชาธิปไตยสมบูรณ์ ข้อตกลงชนิดนี้คือ สังคมสัญญาที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่อาจจะละเมิดได้ (ปรีดี, 2516)
นายเขมชาติ บุณยรัตพันธุ์ (2455-2334) จบจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ (2472) เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนกฎหมาย จนสำเร็จเนติบัณฑิต (2474) เข้าทำงานในสำนักงานโฆษณาการ (2476) รับผิดชอบในการปาฐกถาเผยแพร่รัฐธรรมนูญในต่างจังหวัด
ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด (2480) เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม
จากนั้น ผันตัวเองออกไปเป็นนักการทูต (2498-2501) ประจำอาร์เจนตินาคนแรก ภายหลังจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐประหารล้มจอมพล ป.ลงแล้ว ต่อมาจอมพลสฤษดิ์เรียกเขากลับไทย
หลังจากนั้น เขาพ้นจากตำแหน่งราชการและทำเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้ภาคเอกชน เขาเคยประเมินการเมืองไทยในยุคสฤษดิ์ให้ลูกสาวฟังว่า เป็น “มิลิทารี คุนต้า สมบูรณ์แบบ”
แม้นในเวลาต่อมา จะมีการเปิดให้มีการเลือกตั้ง เขาลงสมัครเช่นเดิม แต่บรรยากาศทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไปแบบถอยหลังเข้าคลอง
หนังสือเรื่องนักการเมือง (2478) เล่มนี้ เป็นบันทึกความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของอำนาจอธิปไตยของประชาชนในการกำหนดอนาคต บทบาทของนักการเมือง พร้อมทัศนะทางการเมืองของข้าราชการกรมโฆษณาการที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจในการส่งเสริมการปกครองใหม่ให้ประชาชนเข้าใจ ไม่นานจากนั้น เขาก็ลาออกลงสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดร้อยเอ็ดจนสำเร็จ (2480)
ในช่วงที่เขาทำงานกับกรมโฆษณาการในการส่งเสริมการปกครองประชาธิปไตย กระตุ้นให้พลเมืองมีความแข็งขันในการมีส่วนร่วมทางการเมือง เขาอยู่ในทีมของไพโรจน์ ชัยนาม อำพัน ตัณฑวรรธนะ และสมบูรณ์ เหล่าวานิช ตระเวนเผยแพร่ความรู้ไปทั่วอีสานถิ่นทุรกันดาร
เขาบันทึกไว้ในหนังสือนักการเมืองถึงความรู้สึกของคนไทยในชนบทภายหลังการปฏิวัติ 2475 เมื่อทราบพระบาทสมเด็จข่าวพระปกเกล้าฯ สละราชย์ว่า
“…หลังจากแสดงปาฐกถาแล้ว ผู้แสดงได้บอกข่าวเรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงลาออกจากราชสมบัติ ให้ราษฎรซึ่งมาประชุมฟัง เมื่อบอกแล้ว ข้าพเจ้าได้คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลง อันคาดว่าจะเกิดจากสีหน้า หรืออาการของผู้ที่มาฟังบ้าง แต่เปล่า ไม่มีอาการเปลี่ยนแปลงหรือตื่นตกใจแต่อย่างใดเลย ราษฎรทั้งหลายได้ฟังและได้ยิน แต่ทว่า ข่าวที่ได้ยินนั้น ไม่ทำให้เขารู้สึกดีใจ เสียใจ หรือประหลาดใจแต่อย่างใด เสมือนหนึ่งว่า เรื่องที่บอกนั้น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวข้องแก่เขา ใครจะเป็นอะไรก็ช่าง”
ในช่วงที่เขาเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อปาฐกถาให้ประชาชนฟังจนป่วยเป็นมาลาเรียเจียนตาย แต่ทำให้เขาพบเห็นชีวิตของผู้คนมากมาย
และเล่าว่า ชาวบ้านในอีสานมีชีวิตยากลำบาก วนเวียนแต่ชีวิตชาวนามานาน
ส่วนคนทางใต้ส่วนใหญ่พูดไทยไม่ได้ รัฐบาลควรส่งเสริมให้รู้ภาษาไทย ส่วนธรรมเนียมประเพณี ศาสนาเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนตัวไม่ควรแทรกแซง
ดังนั้น เขาจึงเกิดความต้องการเป็นนักการเมืองเพื่อช่วยเหลือประชาชน
เขาบันทึกว่า “นับแต่ลัทธิประชาธิปไตยได้ถูกนำมาใช้เป็นหลักแห่งการปกครองของประเทศแล้ว อำนาจอธิปไตยซึ่งแต่ก่อนเคยตกอยู่ในกำมือของคนคนเดียวได้คลายออกและกระจายไปอยู่ในมือของประชาชนชาวสยามโดยทั่วกัน”
สํหรับหนังสือนักการเมือง (2478) เล่มนี้ เขาเขียนก่อนลาออกจากราชการเพื่อลงสมัครเป็นผู้แทนฯ (2480) แบ่งออกเป็น 5 บท ดังนี้
บทนำ มติมหาชนคืออะไร? ประโยชน์ของมติมหาชน มติมหาชนเกิดขึ้นได้อย่างไร
บทที่ 2 นักการเมือง คุณสมบัติของนักการเมือง
บทที่ 3 ก้าวไปสู่เวทีการเมือง การเผยแพร่โดยทางหนังสือ การเผยแพร่โดยปาฐกถา หน้าที่ของผู้แสดงปาฐกถา คุณสมบัติบางอย่างของผู้แสดง การสมาคม
บทที่ 4 การเลือกตั้งครั้งที่สอง ทำไมราษฎรจึงไม่มาออกเสียงเลือกตั้ง ทำไมราษฎรจึงออกเสียงโดยไร้เหตุผล
และบทที่ 5 ผู้แทนราษฎร ประเภทของผู้แทนราษฎร ข้อผิดพลาดของผู้แทนราษฎร
เขาเปรยว่า ที่ผ่านมาไทยเป็นเมืองที่มีแต่นักรบมากเกินไป ไม่มีนักการเมือง กล่าวคือ นักรบยึดถือวินัยมากกว่าสติปัญญา จึงไม่คิดโต้แย้งหัวหน้า แต่นักการเมืองนั้นเน้นสติปัญญา สามารถแนะนำหรือคัดค้านผู้นำของประเทศได้ นักการเมืองเน้นความถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างกัน
เขาเห็นว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตย ราษฎรต้องเป็นผู้นำตนเอง ไม่เหมือนการปกครองเก่าที่เป็นเพียงผู้ตาม
เขาเห็นว่า การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยย่อมอาศัยมติมหาชนเป็นหลัก เพราะวิธีการดำเนินการของประเทศทุกอย่างต้องได้รับความเห็นชอบจากราษฎร
รวมทั้งเขาบรรยายถึงความสำคัญของมติมหาชนในการปกครองใหม่ กำเนิดมติมหาชนมาจากการถกเถียง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
สำหรับคุณสมบัติของคนที่ต้องการเป็นนักการเมือง เขาเห็นว่า นักการเมืองต้องมีนิสัยที่สนใจเรื่องของส่วนรวม มีความสำนึกว่าเป็นเขาของประเทศ และมีความอดทนในความยากลำบาก การถูกดูแคลน มีความเพียรพยายาม
ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเป็นนักการเมืองต้องมีความมุ่งมั่น ตั้งใจอย่างยิ่ง
สําหรับหนทางไปสู่เวทีการเมืองนั้น เขาเขียนแนะนำว่า ต้องมีการเผยแพร่ตนเองผ่านการเขียนหนังสือแจก เขียนจูงใจผู้อ่าน ไม่ใช้นามปากกาแต่ใช้ชื่อจริง หรือการจ้างหนังสือพิมพ์ลงข่าว การปาฐกถาแนะนำตัวมีหลายแบบ ตั้งแต่การพูดในที่ชุมชน ผ่านวิทยุ เขาแนะว่า การพูดผ่านวิทยุเข้าถึงน้อยเพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องรับวิทยุ
เขาแนะนำวิธีการเตรียมการพูดในที่ชุมชน หมั่นสังเกตความรู้สึกผู้ฟัง ไม่พูดนานเกินไป ให้พูดด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด มีการแสดงท่าทางประกอบการพูด ใช้สำนวนโวหาร มีความรู้กว้างขวาง
รวมทั้งเขาวิเคราะห์สาเหตุที่ประชาชนมาเลือกตั้งในครั้งแรกน้อย (2476) เพราะประชาชนยังไม่เข้าใจ หรือรำคาญการถูกกรบเร้าให้เลือก
บางส่วนมีความขี้เกียจและไม่เห็นประโยชน์การเลือกตั้ง
เขาเห็นว่าคนสูงอายุจะมาเลือกน้อยเพราะแก่ชรา ส่วนสตรีนั้นเพราะอาย เนื่องจากสังคมไทยขณะนั้นไม่มีค่านิยมให้สตรีออกจากบ้าน นอกจากนี้ เขาวิเคราะห์ว่า ประชาชนอีกส่วนหนึ่งที่ไม่มาออกเสียงเพราะมองไม่เห็นความสำคัญของการมีผู้แทนฯ การเกรงกลัวอำนาจของบุคคลผู้เป็นใหญ่ในถิ่นนั้น
สำหรับประเภทผู้แทนฯ ในความเห็นของเขามี 3 แบบ แบบแรก “เก่งคำพูด” มักเป็นนักกฎหมาย มักเก่งงานในสภาแต่ห่างชาวบ้าน
แบบที่สอง “เก่งสมาคม” ชอบวิ่งเต้นช่วยเหลือชาวบ้านแต่ไม่เก่งงานในสภา ราษฎรชอบแต่ไม่นับถือเพราะไม่เก่งงานในสภา
แบบที่สาม ไม่เก่งอะไรเลย นิสัยไม่ชอบทำอะไร ชอบอยู่เฉยๆ พวกนี้ไม่เตรียมตัวมาเป็น ตัวอย่างผู้แทนฯ เก่งในความคิดของเขาคือ เก่งงานสภาและเก่งสมาคมกับประชาชน ข้อพึงระวังของผู้แทนฯ คือ การขยันสัญญากับราษฎร ความเจ้ายศเจ้าอย่างทำให้ห่างราษฎร และหลงว่าตนเองมีอำนาจ
เขาเสนอแนะว่า หากผู้ใดได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนฯ แล้วควรฝากผลงานให้เป็นอนุสาวรีย์อวดคนรุ่นต่อไปว่า ผู้แทนฯ คนนี้ทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง
สุดท้ายแล้ว เขาเห็นว่า
“พลเมืองของสยามควรจะเอาใจใส่ต่อการเมืองให้มากกว่านี้ เพราะประเทศสยามได้ชื่อว่าเป็นของคนไทยทุกๆ คน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ”