ท่าอากาศยานต่างความคิด : เหตุจลาจลที่มึนสเตอร์

ชีวิตาในโลกใหม่ (33) เทศะแห่งอาณานิคมและกาละของผู้ปกครอง

การจะเข้าใจถึงเหตุการณ์จลาจลที่มึนสเตอร์ในปี 1534-1535 ของพวกแอนนาแบ๊บติสต์นั้นจำจะต้องเข้าใจถึงเงื่อนไขที่พวกเขาใช้อ้างในการรวบรวมบุคคลเป็นปึกแผ่นเสียก่อน

สิ่งที่พวกแอนนาแบ๊บติสต์ใช้ประกาศอยู่เสมอคือการที่พวกเขาสามารถพาผู้คนที่มีความศรัทธาในพวกเขารอดพ้นได้จากวันสิ้นโลกหรือเหตุการณ์อโพคาลิสซึ่งกำลังจะมาถึงในไม่ช้าจากการแปลความหมายในพระคัมภีร์วิวรณ์ของพวกเขา

คำว่าอโพคาลิส “apocalypse” หรือวันสิ้นโลกนั้นมาจากคำศัพท์ในภาษากรีกคืออโพคาลูปสิส apocalupsis ซึ่งมีความหมายถึงการเผยแสดง เปิดให้ประจักษ์ หรือนำออกซึ่งสิ่งที่เคยปกปิด

ถ้อยคำนี้ปรากฏในพระคัมภีร์วิวรณ์หรือ The book of Revelation ซึ่งประพันธ์โดยนักบุญจอห์นหรือประกาศกจอห์นแห่งปัทมอส ในยุคต้นของการประกาศศาสนา

มีความเชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงมอบคำทำนายเกี่ยวกับวาระสุดท้ายของมนุษยชาติให้กับนักบุญจอห์น หากแต่เพื่อระงับการตื่นกลัวและความหวาดหวั่นแก่สาธารณชน

นักบุญจอห์นได้ใช้สัญลักษณ์ เหตุการณ์อุปมาอุปไมย และตัวเลขจำนวนมากปกปิดความจริงและคำพยากรณ์ที่ว่า ผู้อ่านที่มีความรู้มากพอเท่านั้นจึงจะสามารถถอดรหัสที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ได้และเข้าถึงคำทำนายได้ในที่สุด

วาระสุดท้ายของมนุษยชาติหรือวันสิ้นโลกนั้นเชื่อว่าจะปรากฏขึ้นเมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จกลับมายังโลกนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

ในการกลับมาครั้งนี้พระเยซูเจ้าจะทรงประกาศถึงความรักความชังและคำพิพากษาของท่านต่อมวลมนุษย์

มีความพยายามมากมายที่จะถอดข้อความในสัญลักษณ์เหล่านี้ออกเป็นเหตุการณ์ในแต่ละยุค โดยสัญญาณและสัญลักษณ์ต่างที่ทำนายการมาถึงและเหตุการณ์วิบัติก่อนหน้าหรือ Armageddon

และหลายครั้งที่การตีความดังกล่าวถูกนำไปใช้โดยผู้ที่มุ่งหาผลประโยชน์จากการตีความนั้น

เหตุการณ์การยึดเมืองมึนสเตอร์ในปี 1534 นั้นมีที่มาจากชายชาวดัตช์นาม แจน แวน ลีเดน-Jan Van Leyden ที่อ้างว่าเขาได้รับนิมิตจากพระเจ้าไม่ต่างจากประกาศกจอห์น

เขาประกาศว่าเมืองมึนสเตอร์นั้นคือนครเยรูซาเลมแห่งใหม่ตามคำกล่าวในพระคัมภีร์วิวรณ์และแต่งตั้งตนเองเป็นกษัตริย์เดวิดประจำดินแดนใหม่นี้ และการขยายประชากรในดินแดนใหม่จำจะต้องกระทำอย่างเร่งด่วนก่อนการมาถึงของวันสิ้นโลก

แจน ฟอน ลีเดน สร้างกฎเกณฑ์ใหม่ให้บุรุษแต่ละคนสามารถมีภรรยาได้ไม่จำกัด โดยตัวเขาเองได้มีภรรยาถึงสิบหกคน

สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวคือเมื่อภรรยาของเขาคนหนึ่งที่มีนามว่าอลิซาเบธได้ลุกขึ้นแข็งขืนต่อต้านเขา เขาได้จับเธอไปยังจัตุรัสเมืองและตัดศีรษะของเธอต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก

หลังจากนั้นเขาและภรรยาที่เหลืออีกสิบห้าคนได้เต้นรำรอบร่างที่ไร้ศีรษะนั้นอย่างร่าเริง

พวกแอนนาแบ๊บติสต์นั้นปฏิเสธการเป็นศูนย์กลางของศาสนจักรที่วาติกันเช่นเดียวกับพวกลูเธอร์แลนของมาร์ติน ลูเธอร์ แต่พวกเขาไปไกลกว่านั้นด้วยการปฏิเสธการถือครองที่ดินเป็นของใครโดยเฉพาะด้วย

พวกเขาล้มเลิกการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของร่วมในสถานที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นอารามหรือพระราชวัง

สิ่งเดียวที่พวกเขาเคารพคือคำสอนในพระคัมภีร์และนิมิตที่พระเจ้าทรงปรากฏและประกาศให้ แจน ฟอน ลีเดน เห็นเท่านั้น

ด้วยความเชื่อที่ว่าทำให้ผู้คนทั้งหลายที่ศรัทธาเขาไม่อาจมีคำโต้แย้งใดๆ ได้ การสร้างศรัทธาไม่ได้จบสิ้นลงที่ความรุนแรงที่ แจน ฟอน ลีเดน กระทำให้เห็นต่อหน้าสาธารณชนเท่านั้น หากแต่ยังไปไกลถึงการแสดงตนอันบริสุทธิ์ต่อพระเจ้าด้วย

แจน ฟอน ลีเดน เรียกร้องให้ทุกคนเปลือยกายอยู่เป็นนิตย์เพื่อแสดงถึงร่างกายอันงดงามที่ได้รับการประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า

และหากการแลเห็นร่างกายอันเปลือยเปล่านั้นก่อให้เกิดความกำหนัด พวกเขาก็จะมีเพศสัมพันธ์กันเพื่อขยายอาณาจักรของเยรูซาเลมใหม่อย่างสุขสันต์ด้วยเช่นกัน

กําแพงเมืองขนาดใหญ่ทำให้ช่วงเวลาสิบหกเดือนที่พวกแอนนาแบ๊บติสต์ยึดครองมึนสเตอร์ดำเนินไปอย่างผาสุก พวกเขาเริ่มต้นผลิตสิ่งของใช้กันเองในชุมชนและตัดขาดจากโลกภายนอก (การกระทำเช่นนี้ยังปรากฏอยู่แม้ในความเชื่อของกลุ่มคริสเตียนที่เรียกว่า อามิช-Amish ในประเทศสหรัฐ)

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีจนกองทัพของเจ้าชายฟรานซ์ ฟอน วัลเดก-Franz von Waldeck แจน ฟอน ลีเดน ถูกจับตัวได้จากใต้ถุนของบ้านพักของเขา เขาถูกนำตัวไปสอบสวนที่เมืองดัลเม่นก่อนจะถูกนำกลับมาที่เมืองมึนสเตอร์อีกครั้งในปีต่อมา

และเมื่อถึงวันที่ 22 มกราคม 1536 แจน ฟอน ลีเดน พร้อมด้วย เบินฮาร์ด เครชิ่ง-Bernhard Krechting และ เบินฮาร์ด นิบเปอร์โดลลิ่ง-Bernhard Knipperdolling ผู้สนับสนุนเขาทั้งสองคนก็ถูกทรมานจนถึงแก่ชีวิตที่เมืองนั้นเอง

พวกเขาถูกมัดกับเสาด้วยล่ามคอและร่างกายถูกนาบด้วยเหล็กร้อนแดงเป็นเวลาหลายชั่วโมงจนผิวหนังเกรียมไหม้

เบินฮาร์ด นิบเปอร์โดลลิ่ง พยายามใช้ล่ามคอรัดคอตนเองจนตายเพราะทนการทรมานที่ว่านั้นไม่ได้

เจ้าหน้าที่ผู้คุมเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจนำเขาขึ้นเผาทั้งเป็นแทน

หลังจากถูกเผาจนไหม้เกรียม ลิ้นของเขาถูกดึงออกมาจากปาก ส่วนบุคคลที่เหลืออีกสองคนถูกเหล็กแหลมแทงทะลุหัวใจจนตาย

ร่างของบุคคลทั้งสามถูกนำใส่กรงเหล็กและนำไปแขวนอยู่ข้างอารามเซ็นต์ลองแบรต์ จนเน่าเปื่อยและแห้งกรังไป

กาลเวลาผ่านไปนับห้าสิบปี กระดูกของทุกคนจึงได้รับการนำไปฝัง

ส่วนกรงเหล็กที่ว่ายังคงถูกแขวนไว้ที่ข้างอารามเซ็นต์ลองแบรต์จนถึงทุกวันนี้

ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เรารับรู้จากในประวัติศาสตร์ช่วงเวลาดังกล่าว และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับด้านอื่นของ แจน ฟอน ลีเดน คงไม่มีใครกล่าวถึง หากจะไม่มีการค้นพบบันทึกของช่างไม้คนหนึ่งที่มีนามว่า ไฮดริช เกรสเบก-Heinrich Gresbeck บันทึกของเกรสเบกส่งผลต่อการพิจารณาว่าเหตุการณ์ดังกล่าวหาใช่เรื่องปกติ

เพราะเหตุใดผู้คนจึงขาดสติได้ถึงเพียงนั้น

และทำให้บันทึกของเขากลายเป็นกรณีศึกษาของสิ่งที่เรียกว่าการเกิดอุปาทานหมู่ หรือ Mass Hysteria ในเวลาต่อมา