ครัวอยู่ที่ใจ l ทางรอดอยู่ในครัว : สุดท้ายก็ต้องเข้าครัว / อุรุดา โควินท์

 

 

ทางรอดอยู่ในครัว

: สุดท้ายก็ต้องเข้าครัว

 

เมื่อเราลงมือย้ายบ้านอย่างจริงจัง เราจึงรู้ การขนของจากบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่ง ใช้เวลาและพลังงานมหาศาล

ใช่ แม้ว่าบ้านสองหลังห่างกันแค่ 200 เมตร

เราขนหนังสือหมดแล้ว อยู่บนชั้นวางในบ้านใหม่ครบทุกเล่ม รวมทั้งจานชาม ซึ่งแม้ที่เก็บจานค่อนข้างแออัด แต่ก็ขนไปหมดแล้ว

ดูเหมือนไม่เหนื่อยนัก เพราะเราไม่ได้นับรอบการเดิน

จานกับหนังสือไปก่อน ที่เหลือก็เป็นเสื้อผ้า อุปกรณ์ทำสบู่ ของจากโต๊ะทำงาน และของใช้จุกจิกมากมาย

ฉันคิดว่า ขนสองสามวันคงเสร็จ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น การยกของและเดินไปถึงบ้านใหม่เพื่อหาที่เก็บ ใช้เวลามากกว่าที่ฉันคิด (เวลาส่วนหนึ่งเสียไปกับการบริหารพื้นที่) และเราเหนื่อยเร็วกว่าที่คาด

ต้องยอมรับว่าเรี่ยวแรงฉันน้อยลง บางครั้งฉันเครียดอยู่ลึกๆ มันเป็นความเครียดที่มาจากสถานการณ์รอบๆ ตัว ซึ่งฉันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ นอกจากดูแลจิตใจ อาจด้วยเหตุนี้ที่ทำให้ฉันเหนื่อยง่ายขึ้น

การชุบชูความหวัง หรือค้นหาความรื่นรมย์เล็กๆ จากชีวิต อาจรีดพลังงานจากฉันโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว

 

นัดคนขนของแล้ว เราจะให้เขาขนของหนักที่เราขนไม่ได้ เช่น ตู้ โต๊ะ ที่นอน เปียโน ของชิ้นเล็ก ของจุกจิกที่เราขนได้ เราจะขนเอง

เราต้องการลดความกังวลเรื่องโรคระบาด ของทุกชิ้น เราจะเช็ดทำความสะอาดใหม่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เตรียมแมสก์แน่นๆ ให้คนยก และขอให้พวกเขาล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ก่อนยกของ เราต้องทำขนาดนี้ เพราะเท่าที่เรารู้ ตัวเลขซึ่งดูไม่สูงใน จ.เชียงราย ไม่ใช่ตัวเลขผู้ติดเชื้อจริง ตัวเลขในระบบต่างจากตัวเลขจริงเสมอ อีกทั้งแรงงานที่เราได้มา เป็นแรงงานที่เข้าไม่ถึงวัคซีน

ข้อนี้ เรากับพวกเขาเสมอกัน เพราะเราก็ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน

เราไม่ต้องหากล่องให้วุ่นวาย แค่หยิบหนังสือใส่กล่องโฟม ขนทีละกล่อง ขนจานทีละตั้ง เราขนเสื้อผ้าโดยไม่ต้องถอดออกจากไม้แขวนเสื้อ หยิบไปเท่าที่ไหว ไปถึงก็แขวนเข้าตู้บ้านใหม่

ข้อเสียคือ เราต้องลงมือทำเอง เราต้องแบ่งเวลาทำงาน และเวลาในชีวิตประจำวันมาย้ายบ้าน ซึ่งเราทำมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว

สาม-สี่วันนี้เราวางแผนว่าจะขนให้มากที่สุด เพราะวันย้ายใกล้เข้ามา เราเตรียมร่างกายให้พร้อม พักผ่อนมากกว่าเดิม กินมากกว่าเดิม เลิกกังวลเรื่องที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ยังมีอีกเรื่องที่เราต้องจัดการ

นั่นก็คือเวลา

 

อาหารสามมื้อ ฉันต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมง เขาเสนอว่า สามวันนี้ อย่าทำอาหารเลย ออกไปซื้อแกงถุงมาเก็บไว้เถอะ อุ่นกินให้ร้อนก็ปลอดภัย

ฉันตกลงตามนั้น เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเราต้องการเวลาแค่ไหน น่าจะเป็นการซื้อแกงถุงในรอบสิบปีของฉัน

ฉันอาจไปนั่งกินข้าวแกงในร้านบ้าง แต่ไม่เคยตั้งใจซื้อแกงถุงมาเก็บไว้กินเป็นอาหารทุกมื้อ ก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะเจอเจ้าอร่อย เจอช้างเผือกในป่าใหญ่

ซื้อแกงมาพอดีกับสามวัน กินไปหนึ่งวันครึ่ง ซึ่งเท่ากับสี่มื้อ เราต่างมองหน้ากัน

“ไม่ไหวแล้วใช่มั้ย” ฉันถามเขา

“ก็…กินได้นะ”

“ไม่ถึงกับกินไม่ได้ แต่เรากินน้อยลงทุกมื้อ กว่าจะได้ย้ายบ้าน ผอมกันพอดี กินน้อย ไม่มีแรงย้ายหรอก”

เขายังยืนยันว่ากินได้

แต่ฉันไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ อาหารเป็นความสุขหนึ่งของฉัน ใช้แรงเยอะ ทำงานเยอะ แต่ไม่ได้กินของอร่อย ฉันยอมไม่ได้

 

ก่อนค่ำฉันย่องเข้าครัว ปล่อยให้เขาง่วนกับการจัดหนังสือ (เราขนเสร็จแล้ว แต่การจัดและแยกประเภทหนังสือต้องการความละเอียดระดับสิบ)

อา…มีไข่ เวลานี้น่ะ ไข่เจียวหมูสับ ก็น่ากินกว่าแกงทุกถุงที่มีในตู้

ฉันหยิบไข่วางไว้

มีหน่อไม้ต้ม ซื้อมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ยังใช้ได้ โอเค ฉันจะทำคั่วหน่อ กับเมนูไข่

ตำพริกหอม กระเทียม ใส่กะปินิดหน่อย แค่นี้ก็เป็นคั่วหน่อแล้ว แต่ฉันมีสะตอจากสวนของแฟนเพจแกะเม็ดใส่กล่องไว้อย่างดี เอามาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในคั่วหน่อ น่าจะอร่อยขึ้น

หมูไม่มี ไม่ต้องก็ได้ กินไข่เยอะๆ เป็นพอ

ตั้งกระทะ ใช้น้ำมันนิดหน่อย ผัดน้ำพริกแกงให้หอม ใส่หน่อลงไป ตามด้วยสะตอหั่น คั่วด้วยไฟอ่อนจนหน่ออ่อนนุ่ม ปรุงรสเพิ่มด้วยเกลือ น้ำปลา ตัดน้ำตาลปลายช้อน

ได้คั่วหน่อที่มีสะตอนิดหน่อย รสชาติเผ็ดนิด เค็มหน่อย กำลังดี

กับไข่ ฉันอยากกินไข่คลุกแบบที่กินตอนเด็ก เพิ่มพริกขี้หนูเม็ด เพื่อความแซบ

เมื่อก่อน ฉันทำไข่คลุกเพราะเจียวไข่ไม่สวย แต่เดียวนี้ ฉันทำเพราะเป็นไข่ที่ใช้น้ำมันน้อยมาก หรือไม่ใช้เลยก็ยังได้

ใช้กระทะเทฟลอน ตีไข่ให้แตก เติมน้ำปลา โยนพริกขี้หนูลงไปเก้าเม็ด ใช้น้ำมันพอเคลือบกระทะ พอน้ำมันร้อน เทไข่ ใช้ตะหลิวคนๆๆ จนไข่สุก แล้วตักใส่จาน

เขาหัวเราะ เมื่อเห็นอาหาร “สุดท้ายก็ต้องเข้าครัว”

ฉันยักไหล่ ทำยังไงได้ล่ะ ฉันคิดถึงรสมือตัวเอง ขอทำคั่นกลางสักมื้อก็ยังดี