เขย่าสนาม : ‘มาดามแป้ง’ กับภารกิจกู้ชีพ ‘ช้างศึก’

เขย่าสนาม

เด็กเก็บบอล / [email protected]

 

‘มาดามแป้ง’

กับภารกิจกู้ชีพ ‘ช้างศึก’

 

นับว่าเป็นข่าวใหญ่ของวงการฟุตบอลไทยกับการคัมแบ๊กมารับตำแหน่งในทีมชาติอีกครั้งของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ

เดิมทีเราเคยเห็นแต่บทบาทของมาดามแป้งในการนำทีม “ชบาแก้ว” ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ไปเล่นฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก ได้ถึง 2 สมัย ในปี 2015 และ 2019

กับอีกบทบาทหนึ่งก็คือนายหญิงแห่งสิงห์คลองเตย การท่าเรือ เอฟซี ในฐานะประธานสโมสร ที่ยกระดับทีมจากทีมหนีตกชั้นขึ้นมาเป็นทีมเต็งแชมป์ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

แต่การกลับมาครั้งนี้ของมาดามแป้ง ต้องมารับเผือกร้อนอย่างการเป็นผู้จัดการทีม “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลชายดูบ้าง

แถมยังต้องควบการทำงานทั้งทีมชาติไทยชุดใหญ่ รวมถึงทีมชุดยู-23 อีกด้วย

 

ที่ต้องเรียกว่าเป็นการรับเผือกร้อน เพราะตอนนี้ทีมฟุตบอลชายนั้นกำลังอยู่ในจุดที่ตกต่ำลง ทั้งการตกรอบสอง ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย และอันดับโลกตกต่ำลงรวดเดียวกว่า 20 อันดับ ดังนั้น งานสำคัญคือการปลุกชีพช้างศึกตัวนี้กลับมาให้ได้โดยไว

โดยทั้งสองทีมกำลังจะมีโปรแกรมสำคัญในช่วงที่เหลือของปีนี้ เริ่มต้นจากทีมชุดยู-23 ที่จะต้องแข่งขัน ฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก ที่ประเทศมองโกเลีย ในเดือนตุลาคม ซึ่งไทยอยู่ในกลุ่มเจ ร่วมกับมองโกเลีย (เจ้าภาพ) ลาว และมาเลเซีย ต้องเป็นแชมป์กลุ่ม หรือลุ้นรองแชมป์ 4 ทีมที่ดีที่สุดจาก 11 กลุ่ม เพื่อผ่านไปเล่นรอบสุดท้ายที่ ประเทศอุซเบกิสถาน ในปีหน้า

ส่วนทีมชาติไทยชุดใหญ่ ก็มีโปรแกรมศึกชิงแชมป์อาเซียน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ที่เลื่อนการแข่งขันมาปีหนึ่ง

นอกจากนี้ ยังมี เอเชี่ยน คัพ 2023 รอบคัดเลือก ที่ไทยจะต้องเล่นเพื่อผ่านไปรอบสุดท้ายที่จีนให้ได้

 

ที่ผ่านมาแม้ว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะออกตัวว่าตำแหน่งผู้จัดการทีมไม่จำเป็นต้องมี เพราะทุกอย่างสมาคมคอยดูแลจัดการให้หมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเก็บตัว, เดินทาง หรือเงินรางวัลต่างๆ พร้อมเปย์ให้ทุกอย่าง

แต่สุดท้ายแล้วตำแหน่งนี้ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ฟุตบอลไทยขาดไม่ได้ เพราะหลายๆ ครั้งสิ่งที่นักบอลต้องการไม่ใช่เพียงเรื่องการดูแลทางกายภาพ แต่เป็นเรื่องการดูแลทางจิตใจมากกว่า

ต่อให้นายกสมาคมลงมาคลุกคลีกับนักเตะมากแค่ไหน ก็คงไม่มีใครกล้าเอ่ยด้วยตรงๆ ว่าต้องการการดูแลแบบนี้ หรือเข้าไปคุยสารทุกข์สุกดิบด้วยตัวเอง

การมีผู้จัดการทีมจะทำให้มีสื่อกลางในการพูดคุย ตอบรับความต้องการของนักเตะ เพื่อให้ส่งต่อไปถึงตัวนายกสมาคม หรือบางทีผู้จัดการทีมคนนั้นก็ลุยด้วยตัวเองเลยเพื่อขวัญกำลังใจที่ดีของนักเตะก่อนจะออกไปแข่งขัน

ที่ผ่านมาเราเห็นแล้วว่า มาดามแป้งดูแลทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยเป็นอย่างดี ได้รับความรักจากตัวนักกีฬาอย่างมาก

และแม้ว่าทุกวันนี้จะไม่ได้เป็นผู้จัดการทีมแล้ว เราก็ยังเห็นนักเตะกับมาดามแป้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่เสมอ

 

อีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญเลยที่มาดามแป้งจะต้องรับไป ก็คือการเป็นผู้ประสานสิบทิศ ในการเจรจากับสโมสรต่างๆ ในการปล่อยตัวนักเตะเพื่อมาร่วมทีมชาติ บางครั้งสมาคมทำได้แค่เป็นตัวกลางในการส่งหนังสือขอตัวนักเตะมาร่วมทีม แต่ถ้ามีผู้จัดการทีม และยิ่งเป็นคนที่มีเพาเวอร์ เป็นที่รู้จักกันในวงการฟุตบอล แน่นอนว่าสามารถยกหูกริ๊งกร๊างเพื่อเจรจาขอตัวนักเตะคนนั้นคนนี้มาร่วมทีมชาติได้ด้วยตัวเอง

ถ้าเราบอกกันว่าฟุตบอลไทยในยุคนี้แบ่งออกเป็นสองขั้ว ทั้งขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจปัจจุบัน แต่คนหนึ่งที่สามารถเป็นกลางเข้ากับทุกฝ่ายได้ดีมาโดยตลอดก็คือมาดามแป้งนั่นเอง เราจะเห็นว่ามาดามแป้งนั้นรู้ดีว่าควรจะยืนอยู่ในจุดไหน ไม่ได้อยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งแบบชัดเจน

แต่ก็อยู่ในส่วนที่ตัวเองต้องทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการทำทีมชาติชุดหญิงสมัยก่อน หรือการเป็นประธานสโมสรการท่าเรืออย่างที่เห็น (ซึ่งมีหลายทีที่ชนกับสมาคมชุดนี้อยู่เช่นกัน ไม่ใช่คล้อยตามทุกเรื่อง)

สิ่งที่มาดามแป้งพูดอย่างชัดเจนเลยในการแถลงข่าวก็คือ ตัวเธอคนเดียวคงไม่สามารถฟื้นฟูวิกฤตของทีมชาติไทยกลับมาได้ ต้องใช้ความร่วมมือของทุกฝ่าย และตัวเองก็พร้อมเปิดรับทุกความช่วยเหลือที่จะเข้ามาเช่นกัน

 

การมารับงานครั้งนี้ของมาดามแป้ง ต้องบอกว่าไม่ใช่เผือกร้อนธรรมดา แต่เรียกว่าเป็นเผือกทองร้อนเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างที่รู้ว่าช้างศึกคือทีมที่เป็นเหมือนความหวังสูงสุดของประชาชนชาวไทยทุกคน และเป็นตัวกำหนดกระแสความนิยมของฟุตบอลไทยเลยก็ว่าได้

เพราะอย่างที่รู้กันว่าแฟนกีฬาชาวไทยเสพติดกับความสำเร็จ ในยุคที่ฟุตบอลไทยเฟื่องฟู ไต่ระดับขึ้นไปเป็นเบอร์ 1 ในย่านอาเซียน ที่เตรียมจะขึ้นเป็นทีมชั้นนำของเอเชีย กระแสฟุตบอลไทยหยิบจับอะไรก็บูมไปหมด แฟนบอลเข้าชมกันเต็มความจุของสนามแบบที่ตั๋วเข้าชมหมดภายในไม่กี่นาทีเท่านั้น รวมถึงกระแสยังส่งต่อไปฟุตบอลลีก ให้มีคนติดตามมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

แต่พอผลงานของทีมชาติซบเซาลง กระแสความคลั่งไคล้ต่างๆ ก็ค่อยๆ ถดถอยลงไป แฟนบอลจากที่เคยเข้าสนามกันเต็ม ก็เริ่มค่อยๆ หายกันไปเป็นหย่อมๆ บัตรเข้าชมเองก็ถือว่าใช้เวลาในการขายมากกว่าเดิม สืบเนื่องไปถึงกระแสฟุตบอลลีกเองก็ตกลงเช่นกัน

ดังนั้น งานครั้งนี้ของมาดามแป้ง ไม่ใช่แค่การปลุกชีพ “ช้างศึก” ตัวนี้ที่กำลังอยู่ในช่วงโรยรา ให้กลับคืนมาผงาดสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่มันรวมถึงการปลุกกระแสฟุตบอลไทยให้กลับมาเป็นที่สนใจด้วยเช่นกัน

งานนี้ไม่รู้ว่าเป็นการเอาตัวเองลงมาเสี่ยงที่จะเสียชื่อหรือไม่ แต่เชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจของมาดามแป้ง เคยทำให้เห็นกันมาแล้วว่าสามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้มาโดยตลอด

หวังว่าจะสามารถปลุกชีพ ‘ช้างศึก’ ตัวนี้กลับมาตกมันได้อีกครั้งหนึ่ง