ครัวอยู่ที่ใจ l ทางรอดอยู่ในครัว : ทำอาหารบนเงื่อนไขใหม่ / อุรุดา โควินท์

 

 

ทางรอดอยู่ในครัว

: ทำอาหารบนเงื่อนไขใหม่

 

วิธีคิดในการทำอาหารของฉันเปลี่ยนไปมาก

เมื่อก่อน ฉันคิด (หรือไม่ก็ถามเขา) อยากกินอะไร แล้วเราก็ไปจ่ายตลาด ซื้อของมาทำสิ่งนั้นกินอาจไม่ทันที ไม่ใช่วันนี้ แต่ถ้าอยากกิน เราต้องได้กิน

ตอนนี้ มีอะไรกินได้-กิน มีอะไรทำเป็นอาหารได้-ทำ

จะบอกว่าเรากินอยู่ง่ายขึ้น ก็ไม่เชิง เราไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้

ฉันยอมรับว่าฉันไปตลาดด้วยความรู้สึกหน่วงใจ หวาดระแวง และเหนื่อย ความสนุก ความสบายใจในการจ่ายตลาด หายไปกับการระบาดของโควิด ป่วยการที่ฉันจะหลับตาฝันถึงคืนวันเก่าๆ ฉันบอกตัวเองว่า ฉันต้องการมีชีวิต ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

ฉันมีงานที่อยากทำ มีคนรักที่ฉันอยากใช้ชีวิตด้วย มีหมาที่ต้องดูแล มีคนอ่านรออ่านงานของฉัน

ฉันจึงไปตลาดด้วยเงื่อนไขใหม่ วางแผนทำอาหารประเภทแกงสักสามอย่าง แกงกะทิหนึ่งหม้อ (อย่างแรกที่ต้องทำ) และแกงอื่นที่สามารถเก็บวัตถุดิบได้สักวันสองวัน เท่านี้เราก็ได้อาหาร 6 มื้อ หรืออาจได้ถึง 8 ถึง 10 มื้อ กรณีมีตู้แช่แข็ง และอยากแกงหม้อใหญ่

 

แกงเป็นอาหารที่คุ้มเวลา หนึ่งหม้อ สองคน ไม่มีทางกินหมด ได้แบ่งใส่ถุงแช่แข็งแน่นอน ซึ่งหมายความว่า มื้อใดมื้อหนึ่งข้างหน้า เมื่ออยากกิน ฉันไม่ต้องทำ ไม่ต้องไปตลาดด้วย

ฉันทำทุกวิธีเพื่อไปตลาดน้อยลง ผักอะไรที่พอเก็บได้ ซื้อมาเก็บไว้ก่อน ซื้อหมู ไก่ หลายๆ ส่วน มาแบ่งเป็นถุงแช่แข็ง ซื้อวัตถุดิบจำพวกเส้น (เผื่ออยากกินก๋วยเตี๋ยว)

บางมื้อเช้า ฉันกินขนมปัง บางเช้ากินมันฝรั่ง อาหารหมวดแป้งสองอย่างนี้ มีไว้แทรกยามเบื่อข้าว

ครั้นเบื่อขนมปัง เราก็วนไปหาข้าว เบื่อข้าวกับผัดผัก (บวกไข่ดาว) ค่อยกลับไปซบอกมันฝรั่ง มื้อเช้าของเรา มักวนเวียนอยู่แบบนี้ เน้นอาหารรสไม่จัด ให้พลังงาน และทำไม่ยาก เพื่อเราได้เริ่มงานเร็ว (และอีกเดี๋ยวก็ต้องทำมื้อกลางวัน)

เวลาจะหายไปมาก ถ้าคุณทำอาหารกินเองสามมื้อ ฉันจะไม่บอกคุณว่า ทำอาหารใช้เวลาแป๊บเดียว รวมการล้าง การเตรียม การเก็บ คุณต้องมีอย่างน้อย 30 นาทีต่อหนึ่งมื้อ

อาจมีทางอื่นสำหรับอาหาร แต่วันนี้ฉันขอเลือกเดินเข้าครัวทุกมื้อ เพื่อความปลอดภัย และความประหยัด

 

ในช่องแข็งมีแกงสามชนิด รวม 5 ถุง ได้ห้ามื้อสวยๆ ฉันจะภูมิใจมาก ถ้าฉันบริหารผักที่ซื้อมาในตู้เย็นได้ดี ไม่มีอะไรต้องทิ้ง

หากไม่เกลี้ยงตู้ เราจะไม่ไปตลาดใหญ่ (ก็คนมันเยอะ)

ผักที่ควรกินก่อน เรากิน ผักอะไรที่เก็บไว้ได้ เรากินตามลำดับ เราไม่ได้เลือกกินตามปาก แต่เลือกกินตามเงื่อนไขสถานการณ์

เมื่อวานเราออกไปซื้อหน้ากากอนามัย ตรงกันข้ามร้านยาคือร้านขนมปังเจ้าอร่อย ฉันรีบวิ่งไปหยิบใส่ถุง ซื้อขนมปังขาวมาทำแซนด์วิช และได้บาเก็ตมาด้วย

เราไม่มีเตาอบ เราอุ่นขนมปังด้วยเครื่องปิ้ง แต่กับบาเก็ตคงต้องใช้กระทะ รอให้กระทะร้อน กลิ้งให้ผิวของบาเก็ตสัมผัสความร้อนอย่างทั่วถึง

อุ่นขนมปังได้ แต่เราจะกินอย่างไรดี ตอนจ่ายตลาด ฉันไม่ได้คิดถึงบาเก็ตสักนิด แต่ก็นะ เห็นร้านขนมปังอยู่ตรงหน้า ฉันจะไม่ซื้อได้อย่างไร

ฉันนึกถึงขนมปังแบบเวียดนาม มีหมูยอ หมูสับปรุงรส และผักดอง แต่เราไม่มีหมูยอ แคร์รอตมีนิดหน่อย ส่วนหัวผักกาด เราใช้ต้มซุปทำก๋วยเตี๋ยวหมดแล้ว

 

ฉันยืนมึนหน้าตู้เย็น มีไข่ มีสันในไก่ แล้วก็มีมะเขือเทศกับผักใบเขียวอย่างละหน่อย

“กินกับออมเล็ตได้นะ ขนมปังเมื่อวาน” เขาบอก

เขาเข้าครัวตั้งแต่เมื่อไร แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังหมกหมุ่นกับขนมปัง

“ไม่อยากกินออมเล็ตน่ะ แต่อยากกินขนมปังกับโปรตีนสักอย่าง”

“ไส้กรอกมีมั้ย ไส้กรอกก็ได้” เขาว่า

ฉันส่ายหัว “เบคอนก็ไม่มี พรุ่งนี้เราคงต้องสั่งมาแล้วล่ะ”

“หรือเรากินอย่างอื่นก่อน พรุ่งนี้ค่อยกินขนมปัง” เขาเสนอ

นั่นก็เป็นทางเลือกที่ง่ายดี แต่น่าเสียดายความอร่อยของขนมปังใหม่

เปิดตู้เย็นอีกครั้ง เอาเนยออกมา (ยังไงก็ต้องใช้) ตอนนั้นล่ะ ที่ฉันเห็นมายองเนส นึกขึ้นได้ว่า ตอนเด็กๆ ฉันชอบกินแซนด์วิชที่มีมายองเนสเยอะๆ

“ไก่ฉีกคลุกมายองเนส พอไหวมั้ย มายองเนสคิวพี ไม่หวาน ออกไปทางมันกับเค็ม” ฉันต้องถามเขาก่อน เพราะเราไม่ค่อยกินอะไรที่มีมายองเนสมากๆ

เขายิ้ม “ได้อยู่นะ”

เย้… ฉันกินได้อยู่แล้ว

 

ประเด็นของฉัน คืออยากกินขนมปัง กินกับอะไรก็ได้ ถ้าคิดไม่ออกจริงๆ ก็คงเป็นไข่อย่างซ้ำซาก

จัดการต้มสันในไก่ ใส่เกลือลงไปในน้ำด้วย ต้มให้สุก ตักมาพักไว้ในกระชอน

ใช้ไก่ฉีกคลุกมายองเนสฉ่ำๆ แต่ควรรอสักนิด ไก่ยังร้อนมาก ระหว่างรอ ฉันคิด ใส่หอมหัวใหญ่สับ น่าจะอร่อยขึ้น

หยิบหอมใหญ่มาล้าง ใช้ครึ่งลูกเล็ก สับลงชาม บีบมายองเนสตามลงไป ฉีกไก่ คลุกให้เข้ากัน ไก่ไม่ค่อยมีรสชาติ เราต้องใช้มายองเนสมากพอ แซนด์วิชจึงมีรส

ลองชิมดู อืม…ขาดอะไรไปสักอย่าง

ฉันหยิบมัสตาดบีบลงชามโดยไม่คิด อร่อยขึ้นจริง จี๊ดจ๊าดขึ้น ชูรส ตัดเลี่ยนได้ดี

โอเค… ผ่าบาเก็ต ทาเนยให้ทั่วถึง ใส่ผักใบเขียวพอให้มีสี ตักไส้ไก่ลงไปเยอะๆ พูนๆ

มะเขือเทศเหลือสามลูกเล็ก เอามาหั่นครึ่งแบ่งกัน

ได้สีส้มเข้าไป แซนด์วิชไก่ดูดีขึ้นทันตา

วางบนจานสีดำ หันไปถามเขา “ควรบีบซอสลงไปหน่อย มะเขือเทศ หรือซอสพริกดี”

เขาหยุดคิด “ซอสพริกน่าจะดีกว่า”

ฉันบีบซอสพริก แล้วยกไปเสิร์ฟบนโต๊ะ เขาชงชาไว้แล้ว

“มายองเนสก็ไม่เลวนะ” เขาว่า กัดอีกคำ ใหญ่กว่าเดิม

ข้างหลังของเงื่อนไขมีรางวัล ฉันคิด เราจะได้รับต่อเมื่อเราทะลุมันไป