ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | วิกฤตที่จะพังทุกคนในระบอบ

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ไม่มีอะไรให้สงสัยแล้วว่าเสียงส่วนใหญ่ในประเทศหันหลังให้รัฐบาล

แต่คำถามที่ไม่มีใครรู้ก็คือ “เสียงส่วนใหญ่” ในที่นี้สะท้อนจำนวนคนมากขนาดไหน

เพราะอะไรที่ดูเป็นเสียงส่วนใหญ่อาจเกิดจากการพูดดัง-ด่าเก่ง-แผดเสียงด่าซ้ำๆ ซากๆ จนกลบเสียงคนอื่นที่พูดเบาแต่จำนวนมากกว่าได้เหมือนกัน

ม็อบคือตัวชี้วัดสำคัญว่าคนสนับสนุนหรือต่อต้านรัฐบาล

แต่ในโลกที่โควิดระบาดและทุกอย่างออนไลน์ จำนวนคนไปม็อบที่น้อยลงอาจไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลมีคนสนับสนุนมากขึ้น เพราะคนที่ต่อต้านอาจไม่ไปม็อบด้วยเหตุผลประเภทกลัวติดโควิด, ไปแล้วเปลือง, หวั่นโดนยิง หรือถนัดดูออนไลน์

คาร์ม็อบเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนว่าคนจำนวนมากต่อต้านรัฐบาล

และที่สำคัญกว่าคือสะท้อนว่าคนที่เกลียดรัฐบาลมีเงินมากพอจะเสียเวลาและค่าน้ำมันไปประท้วงเฉยๆ หลายชั่วโมงด้วย คาร์ม็อบจึงชี้ว่าสังคมไทยมาถึงจุดที่ความไม่พอใจรัฐบาลพุ่งสูงจนคนพร้อมทำทุกทางเพื่อแสดงความรู้สึกนี้ออกมา

เมื่อคำนึงว่าคุณประยุทธ์ จันทณ์โอชา ไม่เคยยั้งมือในการทำร้ายผู้ชุมนุม และยิ่งนานก็ยิ่งเผยการใช้กำลังที่รุนแรงขึ้นจากกระสุนยางสู่แก๊สน้ำตา และในที่สุดก็ถึงจุดที่ตำรวจบอกว่าเอาปืนจ่อหัวประชาชนเป็นเรื่องปกติ การชุมนุมย่อมสะท้อนว่าระดับความไม่พอใจต่อรัฐบาลมีมากจนคนกล้ารวมตัวทั้งที่รู้ว่าอาจเจออะไร

องค์ประกอบหลักของผู้ชุมนุมต่อต้านคุณประยุทธ์ในปี 2563 คือนักเรียน, นักศึกษา และเยาวชน ขณะที่องค์ประกอบหลักของคาร์ม็อบในปี 2564 คือคนที่มีอายุเลยวัยนักศึกษาไปแล้ว

ถ้าเราเอาสองส่วนนี้ประกบกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือช่วงอายุของคนซึ่งพร้อมบวกกับรัฐบาลประยุทธ์นั้นมีมากเหลือเกิน

ตรงข้ามกับคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา และผู้บัญชาการทหารบกซึ่งทำตัวเป็นลูกน้องจนเหยียดหยามประชาชนตลอดปี 2562 บอกว่าประเทศไทยมีความขัดแย้งเพราะมีคนสร้าง “สงครามระหว่างรุ่น” สถานการณ์ในปี 2564 บอกว่าสงครามนี้ไม่ใช่เรื่องระหว่างรุ่น แต่เป็นเรื่องระหว่างคนส่วนใหญ่กับคนส่วนน้อยหยิบมือเดียว

กลยุทธ์ที่ฝ่ายคุณประยุทธ์โจมตีฝ่ายต้านรัฐประหารมาตลอดคือผู้ชุมนุมเป็นพวกล้มล้างสถาบัน และที่จริงทหารกับชนชั้นนำก็ใช้กลยุทธ์นี้โจมตีคุณทักษิณ ชินวัตร และคนที่ตัวเองมองเป็นฝ่ายตรงข้ามมาตั้งแต่ช่วงรัฐประหาร 2549 แต่กลับกลายเป็นว่ากลยุทธ์นี้ไม่มีผลให้ขบวนการต่อต้านคุณประยุทธ์ถดถอยลงเลย

พูดก็พูดเถอะ ไม่เพียงแต่การโจมตีจะไม่ได้ผลอย่างที่เคยเป็น การยัดคดีและใช้กำลังที่ถึงขั้นเอาปืนจ่อหัวก็ไม่มีผลหยุดการต่อต้านรัฐบาลด้วย

อย่างมากที่สุดก็คือเอาเด็กปริญญาตรีอย่างเพนกวินหรือรุ้งไปยัดคุก แต่ยัดแล้วคนยิ่งตั้งคำถามมากขึ้นเรื่องความยุติธรรม, การยัดคดี และการใช้กฎหมายปิดปากประชาชน

ไม่มีใครตอบได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่าทำไมการโจมตีผู้ชุมนุมด้วยเรื่องที่เคยทำในปี 2549 จึงไม่เกิดผลอย่างที่เคยเป็น

แต่ที่ตอบได้แน่ๆ คือคุณประยุทธ์ไม่มี “ข้ออ้าง” เรื่องสถาบันให้ปิดปากฝ่ายตรงข้ามได้อย่างในอดีต

มิหนำซ้ำการใช้กำลังและความรุนแรงก็ยิ่งทำให้ประชาชนทวีความเกลียดชังรัฐบาล

คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ห่วย แต่นายกฯ ห่วยคนอื่นมีฐานทางอุดมการณ์คุ้มหัวจนประชาชนยำเกรง ส่วนคุณประยุทธ์ที่ห่วยกว่าทุกคนในแง่ความรู้ วิสัยทัศน์ ภาษา บุคลิกภาพ ฯลฯ กลับไม่มีอะไรคุ้มหัวได้อีก การจรรโลงอำนาจจึงทำด้วยการใช้ปืน, ใช้กฎหมาย, ใช้เงิน และใช้ผลประโยชน์เป็นเครื่องมือเท่านั้นเอง

พูดแบบสั้นที่สุด คุณประยุทธ์เผชิญปัญหาวิกฤตของบุคคลและวิกฤตของระบบ เพราะขณะที่อดีตนายกฯ ทั้งที่ประชาชนเลือก, ใช้ปืนตั้งตัวเอง หรือมีคนอื่นเลือกนั้นมีจุดเด่นด้านหนึ่งด้านใดอย่างเป็นองคมนตรี, ประชาชนรัก, เชื่อมั่นในรัฐสภา ฯลฯ คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ คนแรกที่หาจุดเด่นอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

คุณประยุทธ์ไม่มีบารมีเมื่อเทียบกับนายกฯ ทักษิณ, คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ความเป็นผู้นำที่ไม่มีคนนับถือจึงเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวคุณประยุทธ์มาตั้งแต่ต้น แต่ที่ผ่านมาคนเงียบเพราะกลัวทหารอุ้มหรือกลัวโดนปืนจ่อหัว

เก้าอี้ในทำเนียบจึงวางอยู่บนการสร้างความกลัวจนคนสะสมความเกลียดมาเจ็ดปี

ตลกเป็นหนึ่งในคนกลุ่มที่แสดงจุดยืนวิจารณ์คุณประยุทธ์ดุเดือดที่สุด แต่ก่อนที่ตลกจะมีบทบาทวิจารณ์รัฐบาล ตลกได้ทำให้คุณประยุทธ์เป็นตัวตลกในคลิปและการแสดงต่างๆ หลายปีแล้ว ความเป็นนายกฯ ที่คนกลัว, เกลียด แต่ไม่นับถือจึงทำให้คุณประยุทธ์ไม่มีคุณลักษณะส่วนบุคคลในการจรรโลงอำนาจเลย

ที่ผ่านมานั้นนายกฯ ที่ไม่เก่ง, ไม่มีใครนับถือ และไม่มีบารมีอยู่ได้เพราะสร้างภาพว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ “ระบอบ” ที่โดยเนื้อแท้แล้วถือกำเนิดก่อนที่คุณประยุทธ์จะรัฐประหารแล้วตั้งตัวเองเป็นนายกฯ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2564 คือตัวคุณประยุทธ์และระบอบกำลังเผชิญวิกฤตที่หนักเกินจะต้านทานได้ต่อไป

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ระบอบซึ่งทำให้คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ในปี 2557 เผชิญกับการท้าทายจากประชาชนผ่านการเลือกตั้งและการเดินขบวน

แต่เป็นครั้งแรกที่การใช้กำลังจัดการฝ่ายตรงข้ามโดยปูทางด้วยอุดมการณ์หรือวาทกรรมต่างๆ เพื่อปกป้องผู้นำห่วยและระบอบเฮงซวยนั้นไม่ได้ผลอย่างในอดีตเลย

เมื่อระบอบอุ้มผู้นำไม่ได้ ขณะเดียวกันตัวผู้นำก็ห่วยจนการอุ้มกลายเป็นภาระที่ทำให้ทุกฝ่ายเสียหายไปหมด ผลลัพธ์ที่ได้คือคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่ปกครองใครแทบไม่ได้ สั่งการอะไรก็มีแต่ปัญหา ตัวช่วยทยอยพังไปด้วย ต่อให้ตามกฎหมายแล้วคุณประยุทธ์จะมีอำนาจเหนือกว่าทุกคนในประเทศก็ตาม

คุณประยุทธ์ตั้งตัวเองเป็นใหญ่ในฐานะประธาน ศบค.ระดับประเทศและประธาน ศบค.กรุงเทพมหานคร แต่ทุกงานภายใต้ ศบค.กลับเละตุ้มเป๊ะตั้งแต่แผนซื้อวัคซีน, ฉีดวัคซีนให้ใครก่อน, ฉีดผ่านหน่วยงานไหน, ปิดแคมป์คนงานวันไหนดี หรือแม้แต่เรื่องโง่ๆ อย่างการทำอินโฟกราฟิกซ่อนตัวเลขคนตายรายวัน

ความมั่วของนโยบายโควิดเป็นสิ่งที่คนไทยเห็นเต็มตา ความคลุ้มคลั่งซื้อวัคซีนห่วยจนไวรัสเดลต้าลามทั่วและคนตายท่วมคือหลักฐานของความโง่เขลาอย่างที่สุด

แต่เมื่อคำนึงว่านโยบายทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้การบริหารซึ่งรวมศูนย์ที่คนเพียงคนเดียวเกือบสองปี ความเชื่อถือที่สังคมมีต่อคนคนนี้ย่อมไม่เหลือเลย

วิกฤตตัวบุคคลลุกลามเป็นวิกฤตศรัทธาต่อระบอบ และในเวลาที่ระบอบไม่สามารถอุ้มชูบุคคลที่คุณภาพห่วยได้อย่างที่เคยเป็น ความไม่พอใจต่อบุคคลก็จะลุกลามเป็นความไม่พอใจต่อระบอบไปด้วย และหากสถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจถึงขั้นไม่พอใจทุกคนที่ทำงานให้ระบอบเดียวกัน

ความยอมรับที่สังคมมีต่อหมอขาใหญ่ซึ่งคุณประยุทธ์เรียกว่า “อาจารย์หมอ” คือหลักฐานว่าความเสื่อมศรัทธาต่อคุณประยุทธ์ลามเป็นความศรัทธาต่อคนที่ทำงานในระบอบนี้อย่างไม่มีใครคาดว่าจะเกิดขึ้นเลย

ย้อนไปหนึ่งปีก่อนที่คุณประยุทธ์ตั้งตัวเองเป็นใหญ่ผ่าน ศบค. กลยุทธ์ที่คุณประยุทธ์ใช้คือการเอาความเชื่อถือที่สังคมมีต่อหมอขาใหญ่มาเป็นฐานอำนาจตัวเอง

แต่หนึ่งปีของความมั่วเรื่องซิโนแวคและคนติดเชื้อที่ลามวันละสองหมื่นทำให้ภาพลักษณ์หมอขาใหญ่พังคู่ขนานไปกับคุณประยุทธ์อย่างน่าอัศจรรย์

จากความยิ่งใหญ่ของ ศบค.ยุคก่อตั้งที่หมอกร่างขั้นด่าคนเห็นต่างเป็นหมาผ่านวลี “เชื่อหมอ อย่าเชื่อหมา” หมอขาใหญ่วันนี้ถูกสังคมมองเป็น “หมอวีไอพี” หรือ “เวชบริกร” จนระดับการถูกด่าเหลือแค่เป็นรองคุณประยุทธ์ถึงขั้นกระทรวงสาธารณสุขต้องยกพลแถลงข่าวว่าหมอขาใหญ่ไม่เกี่ยวกับการจัดหาวัคซีน

คำถามคือ ถ้าคุณประยุทธ์ซึ่งเคยหวังพึ่งบารมีหมอกลับพังจนหมอพังไปด้วย กระทรวงสาธารณสุขจะมีบารมีอะไรมาปกป้องหมอจากการพังพินาศด้านความยอมรับนับถือ

ในเมื่อกระทรวงเองก็ไม่ได้ต้นทุนทางสังคมที่เป็นบวกนัก ต่อให้การทำงานในหน้าที่ของกระทรวงจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนด่าทอก็ตาม

 

คาร์ม็อบสะท้อนความเกลียดที่ประชาชนมีต่อคุณประยุทธ์แบบทะลุเพดาน

ยิ่งกว่านั้นคือความเกลียดอยู่ในภาวะพุ่งพล่านราวน้ำร้อนที่อัดแน่นในหม้อจนสะสมเป็นแรงดันที่รอวันระเบิด

ความไม่พอใจต่อคุณประยุทธ์ลามเป็นความไม่พอใจทุกคนที่ถูกมองเป็นระบอบประยุทธ์จนแม้แต่หมอวีไอพีก็ไม่รอดเช่นกัน

คุณประยุทธ์และระบอบประยุทธ์กำลังเข้าสู่สถานการณ์ที่หายนะทั้งระดับภาพเล็กและระดับมหภาค เส้นทางสู่ความพินาศนี้แก้ยาก

และจะยิ่งไม่มีทางแก้ได้ด้วยการใช้ทหารห้ามประชาชนรวมตัว หรือใช้ กสทช.สั่งตัดเน็ตและปิดปากประชาชน

ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ รัฐบาลกำลังเผชิญสถานการณ์ที่พลาดนิดเดียวไปทั้งกระดาน ไม่ใช่แค่พัง