ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 กรกฎาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เมนูข้อมูล |
เผยแพร่ |
เมนูข้อมูล
นายดาต้า
‘สมุทัย’ วิกฤตประเทศ
หลังพยายามปกป้องคุณภาพของ “ซิโนแวค” ซึ่งพลิกมาเป็นวัคซีนหลักที่ฉีดให้คนไทย เพราะ “แอสตร้าเซนเนก้า” ไม่เป็นอย่างที่คิด มีโรงงานผลิตในประเทศไทย แต่ว่าจะจัดโควต้าได้ตามใจอย่างที่ผู้มีอำนาจบอกไว้ช่วงแรกๆ
“อย่าด้อยค่าซิโนแวค” เป็นคำสั่งที่ต่อเนื่องมาจากการบังคับให้เชื่อว่า “วัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่ได้ฉีดเข้าร่างกาย”
วันนี้กระทรวงสาธารณสุขแถลงอย่างเป็นทางการไปแล้วให้ระงับการฉีดซิโนแวคเข็ม 2 ใครฉีดเข็ม 1 ไปแล้วให้สลับมาฉีดแอสตร้าเซนเนก้าแทน และประกาศให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดซิโนแวคเข็ม 2 ไปแล้วต้องมาฉีดเข็ม 3 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีน mRNA อย่างไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา
แถลงย้ำว่าได้ผลดีทั้งในการป้องกันการติดเชื้อและคุ้มครองการป่วยหนักมากกว่า
เป็นคำสั่งใหม่หลังผลที่ออกมาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าฉีด “ซิโนแวค” แล้วไม่ได้สร้างความมั่นใจอะไรเลย ด้วยยังมีป่วย มีกันเหมือนไม่ได้ฉีดปรากฏขึ้นต่อเนื่อง
การพลิกกลับในทางด้วยคำสั่งที่ตีความว่า “ด้อยค่าซิโนแวค” เสียเองของกระทรวงสาธารณสุข ก่อความโกลาหลไปทั่ว
ยิ่งมีข่าวองค์การอนามัยโลกออกมาเตือนว่า “อย่าฉีดวัคซีนของคนละบริษัทผสม” ด้วยเหตุผลว่า “ยังไม่มีการตรวจสอบที่เชื่อถือได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร” และถึงขั้นสรุปว่า “เสี่ยงต่ออันตราย”
โกลาหลก็เกิดขึ้น ผู้คนทั้งประเทศงุนงงว่าจะจัดการกับชีวิตอย่างไรดี
ไม่ทำตามก็ไม่ได้ เพราะรัฐบาลคุมการฉีดไว้ จะฉีดอะไรให้ต้องเป็นอย่างนั้น ประชาชนไม่มีหน้าที่และอำนาจที่จะเลือก
แต่จะทำตามก็ไม่เชื่อเสียแล้ว ยิ่งมีคำเตือนจากองค์การอนามัยโลกต่อการตัดสินใจฉีดวัคซีนเข็ม 1 กับเข็ม 2 คนละยี่ห้อว่าเสี่ยงต่ออันตราย ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน และละล้าละลังกันไปใหญ่ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต
และอย่าว่าแต่ประชาชนทั่วไปเลย แม้แต่หมอที่ผู้คนยกย่อง ชื่นชมว่าเป็นผู้เสียสละ เป็นด่านหน้า เป็นนักรบแห่งยุคสมัยที่ยอมเหน็ดเหนื่อยด้วยทุ่มเทกับการดูแลเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก หลายคนยังอ้าปากค้างเมื่อได้ยินแผนฉีดวัคซีนแบบใหม่ที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
เหมือนว่าประชาชนประเทศนี้ไม่รู้อะไรเลย เป็นเหมือนคันไถ คันคราด เหมือนเกวียนที่จะไปทางไหนแล้วแต่จะถูกลากไป
แต่ความเป็นจริงไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
ผลสำรวจของสวนดุสิตโพลเรื่อง “ทำอย่างไรคนไทยจึงจะเอาชนะโควิด-19 ได้” ชี้ให้เห็นอยู่ว่า ประชาชนเข้าใจสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ไม่น้อยไปกว่าพวกออกคำสั่ง
เมื่อถามว่า “คิดว่าสถานการณ์โควิด-19 กับคนไทยวันนี้เป็นอย่างไร”
ร้อยละ 91.95 บอกว่าทำลายเศรษฐกิจ คนตกงาน อยู่อย่างลำบาก
ร้อยละ 85.86 เห็นว่าต้องเผชิญกับโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 81.78 บอกว่าทำให้ทุกข์ใจ เครียด จิตตก กลัวไม่ได้รักษา บางคนคิดสั้น
ร้อยละ 78.28 บอกว่าต้องพึ่งตนเอง การ์ดไม่ตก ดูแลสุขภาพให้มากขึ้น
ร้อยละ 74.31 บอกว่าเข้าขั้นวิกฤต รัฐบาลคุมไม่ได้
จากความคิดเห็นของประชาชนดังกล่าวสะท้อนว่าประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเป็นส่วนใหญ่ และสามารถเลือกได้ว่าอะไรก่อนอะไรหลังสำหรับชีวิต เลยไปถึงมองเห็นสาเหตุของปัญหา และย่อมรวมถึงหนทางที่ดีในการแก้ไขด้วย
เมื่อถามว่า “ตั้งแต่มีโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน ประชาชนคิดว่ารัฐบาลดำเนินการเกี่ยวกับโควิด-19 ถูกทางแล้วหรือยัง”
ร้อยละ 66.05 ตอบว่ายังไม่ถูกทาง
ร้อยละ 20.36 ไม่แน่ใจ
แค่ร้อยละ 13.59 เท่านั้นที่บอกว่าถูกทางแล้ว
และเมื่อถามว่า “ประเทศไทยควรเดินหน้าอย่างไร จึงจะเอาชนะโควิด-19 ได้”
คำตอบยิ่งชัดว่า ถ้าให้ประชาชนคิดและทำ ประเทศชาติจะไม่ไปสู่ความเลวร้ายเช่นนี้
ร้อยละ 87.25 บอกว่าเร่งจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพ ให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม
ร้อยละ 80.16 บอกว่าหาทีมสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ไทย สนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือ
ร้อยละ 79.53 บอกว่าต้องหยุดการกระจายของโรคให้ได้ คุมจุดเสี่ยงต่างๆ
ร้อยละ 78.09 บอกว่ารายงานสถานการณ์และข้อมูลที่เป็นจริงกับประชาชน
และร้อยละ 75.20 บอกว่าหยุดเล่นเกมการเมือง มีความจริงใจในการแก้ปัญหา
ฟังแล้วใครบ้างที่จะปฏิเสธได้ว่า แค่ทำตามที่ประชาชนคิดให้ได้ สถานการณ์จะพ้นวิกฤต
แต่จะทำอย่างไรได้ ประเทศนี้มาไกลเกินกว่าผู้มีอำนาจซึ่งขึ้นมาเสวยวาสนาด้วยความคิดที่หมิ่นแคลนสติปัญญาประชาชน
จะหันกลับไปให้เกียรติและเชื่อว่าประชาชนไม่ได้โง่อีกแล้ว
เพราะสภาพจิตที่เป็นผลจากการหลงอำนาจ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมรับว่า “ตัวเองโง่กว่าประชาชน”
และนี่เป็นเหตุที่ทำให้ “ทุกข์ใหญ่” ไม่หายไปจากแผ่นดิน