ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | คนมองหนัง |
เผยแพร่ |
‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ ที่เปลี่ยนแปลงไป
ในทัศนะ ‘นักเตะหลากวัฒนธรรม’ ชื่อ ‘เตียโก’
“เตียโก อัลกันตารา” มิดฟิลด์ทีมชาติสเปนและสโมสรลิเวอร์พูล ถือเป็นนักฟุตบอลคนหนึ่งที่ตั้งข้อสังเกตถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเปลี่ยนแปลงใน “กีฬาลูกหนังยุคใหม่” ได้อย่างเฉียบคมเสมอมา
ดังที่เขาเพิ่งให้สัมภาษณ์กับ “ซิด โลว์” นักเขียน-สื่อมวลชน ผู้เชี่ยวชาญวงการฟุตบอลแดนกระทิงดุ ในระหว่างที่การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 (2021) กำลังเริ่มต้นขึ้น
และนี่คือเนื้อหาบางส่วนจากบทสนทนาดังกล่าว
: คุณคือใครกันแน่? คนที่เกิดในอิตาลี เป็นนักฟุตบอลทีมชาติสเปน แต่มีพ่อเป็นนักเตะทีมชาติบราซิลชุดแชมป์โลก (พ่อของ “เตียโก” คือ “มาซินโญ” ซึ่งคว้าถ้วยฟุตบอลโลกปี 1994 ในฐานะผู้เล่นบราซิล) แล้วก็มาเล่นฟุตบอลอาชีพในเยอรมนีและอังกฤษ ลักษณะผสมผสานเหล่านี้ส่งผลต่อวิธีการเล่นฟุตบอลของคุณอย่างไรบ้าง?
ความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ที่ผมเห็นมันเป็นเรื่องของ “รุ่น” มากกว่าเรื่องของ “สถานที่”
จากยุคของคุณพ่อผม ตอนนั้น ผมมักชอบดูพฤติกรรมของบรรดานักฟุตบอล ว่าพวกเขาทำอะไรกันบ้างในช่วงก่อนและระหว่างการฝึกซ้อม ผมจะถามพ่อในทุกๆ อย่างเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น เช่น นักฟุตบอลต้องดื่มอะไรก่อนแข่งขัน คำตอบที่ผมจำได้คือน้ำผลไม้ปั่น
ต่อมา พอคุณเริ่มมาเล่นฟุตบอลอาชีพ คุณก็จะได้พบผู้เล่นรุ่นถัดมาอย่างชาบี (เอร์นันเดซ), อันเดรส (อิเนียสตา), (การ์เลส) ปูโยล คุณจะเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ และมองเห็นความเปลี่ยนแปลงจากรุ่นสู่รุ่น มากกว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม
แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ฟุตบอลลีกในแต่ละประเทศนั้นมีอัตลักษณ์ที่แตกต่าง ซึ่งนำไปสู่ลักษณะของผู้เล่นที่ไม่เหมือนกัน
: นับแต่คุณเริ่มค้าแข้งมา กีฬาฟุตบอลเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน?
มันเปลี่ยนแปลงไปในแง่ของอัตราเร่งและจังหวะการเล่น ฟุตบอลยุคใหม่นั้นเล่นกันเร็วขึ้นและเน้นความแข็งแรงของร่างกายมากขึ้น
สิ่งที่ขาดหายไปเกือบจะสิ้นเชิง ก็คือ “ผู้เล่นหมายเลข 10” เราจะได้เห็นนักฟุตบอลร่ายมนต์แข้งอันน่าอัศจรรย์ลดน้อยลงเรื่อยๆ ตรงกันข้าม พวกเขาจะพยายามเล่นบอลกันให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลีลาการเลี้ยงลูกบอลแบบลากเลื้อยไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกแล้ว ตราบใดที่คุณยังวิ่ง (หาพื้นที่ว่าง) อยู่เสมอ
นักฟุตบอลรุ่นปัจจุบันพัฒนาไปมากในทุกๆ ด้าน เพียงแต่คุณจะสูญเสียนักเตะที่มีบุคลิกพิเศษ นักเตะที่มีจังหวะการเล่นแบบผ่อนหนักผ่อนเบา เพลย์เมกเกอร์ (ตัวทำเกม) ที่เล่นบอลช้าหน่อย จะได้มีส่วนร่วมในเกมน้อยมาก ต่อให้คุณมีความสามารถเฉพาะตัวอันสูงส่งขนาดไหนก็ตาม
ผู้เล่นอย่างเราๆ ที่เคลื่อนไหวได้ไม่เร็วนักด้วยสองขาของตัวเอง ก็จำเป็นจะต้องคิดอะไรให้รวดเร็วขึ้น มันก็เหมือนกับทุกๆ เรื่องในชีวิต ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยน เพราะทุกสิ่งล้วนเคลื่อนหน้าไป เช่นเดียวกับกีฬาฟุตบอลที่ผันแปรไปตลอด และมีรูปแบบการเล่นที่เปลี่ยนแปลงไป
: คุณพอจะอธิบายถึงความเอาจริงเอาจังที่เพิ่มขึ้นของนักฟุตบอลรุ่นหลังๆ หน่อยได้ไหม?
มันมีบางอย่างที่ผมสังเกตเห็น โดยเฉพาะในแคมป์ทีมชาติ บรรดาผู้เล่นรุ่นใหม่ๆ ต่างเป็นคนที่มีความแคล่วคล่องว่องไว มีความมุมานะเต็มเปี่ยม พวกเขาเตรียมสภาพร่างกายมาเป็นอย่างดี และขยันขันแข็งกันมากๆ
ตอนผมอายุ 18 ปี ผมมักแวะมานั่งจิบกาแฟและพูดคุยกับเพื่อนๆ รอจนถึงเวลาห้านาทีก่อนการฝึกซ้อมจะเริ่มต้นขึ้น ผมจึงค่อยหยิบรองเท้าสตั๊ดแล้วเดินเข้าไปในสนาม
ตอนนี้ ผมอายุ 30 ปี และในเวลา 45 นาทีก่อนจะเริ่มซ้อม บรรดานักเตะรุ่นใหม่ต่างเข้าไปเตรียมพร้อมกันในโรงยิม เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้แก่ร่างกายของตนเอง
จะเห็นได้ว่าหลายสิ่งล้วนมีวิวัฒนาการ ครั้งหนึ่ง นักฟุตบอลอย่างเราๆ ไม่เคยต้องทำอะไรอย่างนี้ เพราะไม่มีใครมาอธิบายว่าเราจำเป็นต้องลงมือทำมัน
: โควิดเปลี่ยนแปลงเกมฟุตบอลไปอย่างไรบ้าง?
โค้ชกับผู้เล่นสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ดีขึ้น ผู้เล่นสามารถสื่อสารกันได้มากขึ้น แม้คุณจะต้องสูญเสียบรรยากาศการแข่งขันไป แต่มันกลับมีพัฒนาการเกิดขึ้นในแง่มุมอื่นๆ ของกีฬาฟุตบอล
นโยบายเพิ่มโควต้าในการเปลี่ยนตัวสำรองจะส่งผลให้ทีมที่เน้นเกมรับ สามารถตั้งรับไปได้จนครบ 90 นาที ส่วนทีมที่เล่นเกมบุก ก็สามารถเดินหน้ากดดันคู่แข่งไปได้จนจบ
อย่างไรก็ตาม ผมเป็นคนที่มีแนวคิด “เกลียดฟุตบอลสมัยใหม่” อยู่ไม่น้อย และมีทัศนคติที่ค่อนไปในทางคลาสสิค เราเพิ่มการตัดสินด้วย “วีเออาร์” เข้ามา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยเลย เพราะมันได้ทำลายแก่นสำคัญที่ว่าพวกเราสามารถก่อเรื่องผิดพลาดบกพร่องกันได้ระหว่างลงเล่น เช่นเดียวกับบรรดากรรมการผู้ตัดสิน
ห้วงเวลาที่จะกลายเป็นตำนานในหลายๆ ช่วง จึงไม่สามารถถือกำเนิดขึ้นได้ (เพราะ “วีเออาร์”) และเมื่อเรายิงประตูได้แล้ว ต่อให้มันเป็นลูกยิงสุดสวยจากระยะครึ่งสนาม คุณก็จำเป็นต้องรอคอยการตรวจสอบ พร้อมความคิดที่ลอยล่องอยู่ในหัวว่า “ผมหวังว่ามันจะไม่มีการทำฟาล์วในระหว่างการขึ้นเกมนะ ผมหวังว่ามันจะไม่ล้ำหน้านะ ผมหวังว่า…”
: คุณพูดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนรุ่นของนักฟุตบอลไปแล้ว อยากให้คุณกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงในเชิงภูมิศาสตร์หน่อย ทั้งในเรื่องเพื่อนร่วมทีมในที่ต่างๆ ประเทศใหม่ๆ (ที่คุณไปปักหลัก) และบรรดาโค้ชหลากหลายเชื้อชาติ
แน่นอนว่าพวกนักเตะสเปนให้ความสำคัญกับเรื่องเทคนิคการเล่นฟุตบอล แต่คนอิตาลีจะให้ความสำคัญกับเรื่องกลยุทธ์มากกว่า ที่อังกฤษ พวกเขาจะมุ่งเน้นเรื่องความเร็วในทุกมิติ
ส่วนที่เยอรมนี ความสำคัญจะอยู่ตรงการเปลี่ยนรูปแบบจากรับเป็นรุกและจากรุกเป็นรับ ที่ฝรั่งเศส บรรดานักบอลรุ่นใหม่ๆ จะได้พัฒนาตนเองในศูนย์ฝึกอันยอดเยี่ยม ดังนั้น พวกเขาจะก้าวหน้าไปไกลมาก โดยเฉพาะในด้านความแข็งแกร่งของร่างกาย
การมีเพื่อนร่วมทีมจากประเทศต่างๆ การได้ไปเล่นฟุตบอลในต่างประเทศ คือบทเรียนใหม่ๆ ที่จะช่วยปลดปล่อยและผลักดันคุณออกจากข้อจำกัดแบบเดิมๆ
: คุณคิดอะไรตอนได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับ “คริสเตียน อีริกเซน”?
“ขอให้เขาโอเคขึ้นด้วยเถอะ” ตอนนั้น พวกเรากำลังจะลงสนามซ้อม เราทุกคนต่างเอามือกุมศีรษะ (เมื่อเห็นภาพดังกล่าว) แล้วภาวนาขอให้เขามีอาการดีขึ้น
ในห้วงเวลาดังกล่าว เรามีความรู้สึกที่ลักลั่นต่อกีฬาฟุตบอล พวกเรากำลังเดินลงสนามซ้อมด้วยอารมณ์ผสมปนเป ด้านหนึ่ง เราก็ถามตัวเองว่า “เราจะลงไปเตะฟุตบอลเพื่ออะไร?” ขณะเดียวกัน มันก็เกิดความรู้สึกว่า “ผมหวังว่าเขาจะมีอาการดีขึ้น ลำดับแรกเลยคือผมหวังว่าเขาจะมีชีวิตยืนยาวต่อไปได้ ข้อต่อมาคือผมหวังว่าเขาจะสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง”
เวลานั้น คุณจะมีอารมณ์ความรู้สึกสองแง่มุม แง่มุมแรก คือความรู้สึกต่อต้าน ไม่อยากเล่นกีฬาชนิดนี้อีกแล้ว และตั้งข้อสงสัยว่าทำไมเราต้องเตะฟุตบอลกันด้วย
อีกแง่มุมหนึ่ง คือความรู้สึกที่ว่าการเตะฟุตบอลมันช่างเป็นเรื่องสวยงามเสียเหลือเกิน ทำไมเราจึงโชคดีที่ได้มีโอกาสเล่นกีฬาประเภทนี้