เครื่องเคียงข้างจอ : ครั้งแรกที่ผมยินดี ให้เชลซีแพ้ / วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

 

ครั้งแรกที่ผมยินดี ให้เชลซีแพ้

 

ชื่อตอนฉบับนี้ยาวสักหน่อยนะครับ

ใครเป็นคอกีฬาลูกหนัง คงรู้ว่าผมหมายถึงทีมสโมสรฟุตบอลเชลซีแห่งศึกพรีเมียร์ลีกของเกาะอังกฤษนั่นเอง

ใช่ครับ ผมเป็นแฟนสโมสรนี้มานานแล้ว ติดตามผลงานผ่านการคุมทีมของโค้ชมากหน้าหลายตา “โรมัน อับราโมวิช” เศรษฐีชาวรัสเซียที่เป็นเจ้าของทีมเขาเป็นคนใจร้อนครับ ถ้าเผอิญเจอช่วงดวงตก ฝีมือต่ำ ผลงานไม่เป็นที่สบอารมณ์โก๋สักพัก โค้ชก็จะถูกปลดในไม่ช้า

เท่าที่จำได้ จากที่ติดตามเชียร์มา มีโค้ชผ่านสนามนี้ไปแล้วร่วมสิบคน บางคนเคยทำแล้วก็แวะเวียนกลับมาทำอีก แล้วก็ไปอีก

จนมาถึงยุคปัจจุบันที่ได้โค้ชชาวเยอรมัน ชื่อ “โธมัส ทูเคิล” อดีตโค้ชทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง คุมทีม

ในพรีเมียร์ลีก ทูเคิลคุมทีมสร้างผลงานออกมาได้อย่างน่าพอใจ ตอนนี้ที่ใกล้จะปิดฤดูกาลก็ลุ้นติดท็อปโฟร์ เพื่อชิงตั๋วไปเล่นถ้วยยูซีแอลในปีหน้า

แต่เกมที่ผมจะพูดถึงไม่ใช่ในศึกพรีเมียร์ลีก แต่เป็นศึกเอฟเอคัพ ที่เชลซีฝ่าดงแข้งคว่ำเต็งหนึ่งในนัดตัดเชือกคือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ลงได้ และมาชิงชัยกับสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ของคุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ที่คนไทยรู้จักกันดี

แน่นอนที่ผมย่อมต้องเชียร์ทีมรักอย่างเชลซีอยู่แล้ว

และสุดท้าย ผลการแข่งขันก็ออกมาอย่างที่ทราบกันคือเลสเตอร์เป็นฝ่ายเอาชนะเชลซีไปได้ 1-0 ทำให้เกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ คือการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ถ้วยรางวัลที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของลูกหนังอังกฤษ เป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 137 ปีทีเดียว

 

ที่ผมจั่วหัวว่า ครั้งแรกที่ผมยินดีให้เชลซีแพ้ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ

เพราะทีมที่เอาชนะคว้าถ้วยไปครองคือสโมสรของคนไทยเรานี่เอง ที่เคยสร้างความภาคภูมิใจมาแล้วในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2015-2016

ครั้งนั้นแม้จะเป็นการสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมในระดับส่วนตัวที่เป็นเอกชน แต่ก็สร้างความดีใจและภูมิใจให้กับคนไทยในประเทศไม่น้อยเลย

ตอนนั้นคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ในฐานะประธานสโมสร ใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความดีใจตลอด เพราะนี่คือเป้าหมายของการลุกขึ้นมาซื้อทีมฟุตบอลสโมสรนี้

ตลอดระยะเวลาที่เป็นเจ้าของ คุณวิชัยและครอบครัวได้พิสูจน์ว่าไม่ได้ซื้อมาเล่นๆ เพื่อหวังผลประโยชน์เท่านั้น แต่หาก “ทำด้วยใจ” ที่ทุ่มเท ดูแล เหมือนเป็นลูกคนหนึ่ง ดังปรากฏในข่าวคราวที่เราเคยได้ทราบกันมาแล้ว

เป็นความรักแบบ “ครอบครัวไทย” ที่คุณวิชัยนำเอามาใช้ในการบริหารสโมสร

นักเตะและทีมงานทุกคนเปรียบเหมือนครอบครัวใหญ่ของคุณวิชัย ที่ดูแลไปจนถึงหลังบ้าน ให้ความรัก เอาใจใส่ เหมือนเป็นพ่อคนหนึ่ง

ไม่แต่นักเตะ ยังรวมไปถึงแฟนๆ สโมสรด้วย ที่ตอนแรกก็กริ่งเกรงกลัวว่าประธานสโมสรคนไทยคนนี้จะเอาอยู่เหรอ จะมาไม้ไหน รักสโมสรจริงรึเปล่า จะมาเปลี่ยนแปลงสโมสรยังไงบ้าง

แต่การกระทำอย่างเสมอต้นเสมอปลายของคุณวิชัย ได้พิสูจน์ให้แฟนๆ สโมสรยอมรับ และยกให้เป็นประธานสโมสรที่เขารักใคร่อย่างมากคนหนึ่ง

วันดีคืนดีก็มีการเลี้ยงโดนัทและเบียร์ให้กับแฟนๆ ที่เข้าชมในสนาม อย่างนี้เป็นต้น

และเมื่อคุณวิชัยสามารถพาทีมหยิบถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้หลังจากเข้ามาเป็นเจ้าของเพียง 5 ปี ก็ทำให้ได้หัวใจของแฟนๆ ไปเต็มๆ

แม้ครั้งนั้นจะสำเร็จไปแล้วหนึ่งอย่าง แต่ยังไม่ใช่ความตั้งใจทั้งหมดของคุณวิชัย

 

คุณวิชัยเคยกล่าวไว้ในปี 2005 ครั้งที่เดินทางมาชมการแข่งขันที่สนามสแตนฟอร์ด บริดจ์ของสโมสรเชลซีในฐานะสปอนเซอร์ แต่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ และได้บอกกับลูกชาย คือคุณอัยยวัฒน์ว่า “วันหนึ่งเราจะซื้อทีม แล้วเอามาสู้เชลซีให้ได้”

และในเวลาต่อมา สโมสรที่คุณวิชัยเลือกซื้อมาเป็นเจ้าของก็คือ “สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้” ที่วันนี้เอาชนะเชลซีได้จริงๆ จนคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ประจำปี 2521 มาครอง

จากวันนั้น ผลสำเร็จที่เอ่ยไว้ก็มาถึง แม้ตัวคุณวิชัยจะไม่อยู่แล้ว แต่ลูกชายคือคุณอัยยวัฒน์ก็ได้ทำหน้าที่นี้แทน เป็นหัวเรือใหญ่ของทีมจิ้งจอกสยามจนสามารถคว้าถ้วยเอฟเอคัพ มาครองได้

วันนั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ภาพที่แคสเปอร์ ชไมเคิล ผู้รักษาประตู กวักมือเรียกคุณอัยยวัฒน์ให้ลงมาในสนามเพื่อร่วมสัมผัสความสำเร็จด้วยกัน นั่นแสดงถึงความผูกพันของนักเตะกับเจ้าของสโมสรได้อย่างดี

ภาพที่คุณอัยยวัฒน์ยกมือไหว้ชไมเคิลก่อนจะรับถ้วยมาถือไว้ เป็นภาพที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลก นี่คือมรรยาทและวัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่งดงาม

และเมื่อคุณอัยยวัฒน์ชูถ้วยขึ้น เสียงโห่ร้องดีใจของความสำเร็จก็อบอวลไปทั่วสนามเวมบลีย์ ผู้บรรยายภาษาอังกฤษบอกถึงความรู้สึกที่ประทับใจ และใช้คำว่า “his family” หลายครั้ง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตปราการหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ชมเกมในวันนั้น ได้เอ่ยกับผู้สื่อข่าวว่า เขาสุดทึ่งที่คุณอัยยวัฒน์ลงไปแสดงความดีใจกับลูกทีมอย่างไม่ถือตัวและเป็นกันเองเช่นนั้น

 

ผมกำลังจะบอกว่า นี่คือความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ที่ไม่มีชาติใดเหมือน เรามีความรู้สึกว่าคนอื่นๆ ก็สามารถเป็นครอบครัวเดียวกันกับเราได้ เราเรียกอา น้า ลุง ป้า ตา ยาย ลูก หลาน ได้อย่างสนิทปาก เพราะเราเรียกกันด้วยหัวใจ

และเราก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

คนที่อยู่คนละภาคคนละถิ่นก็เป็นคนไทยด้วยกัน คนที่เราเพิ่งเจอและมีมิตรไมตรีต่อกัน ก็นับญาติกันได้

อย่างนี้คนตะวันตกจะไม่มี วัฒนธรรมและโครงสร้างความเป็นครอบครัวจริงๆ ของเขายังไม่แข็งแรงเท่ากับครอบครัวไทย

ที่ผ่านมาแม้เราจะเห็นต่างๆ ขัดแย้งกันบ้าง มีปากมีเสียงกันบ้าง แต่สุดท้ายเราก็ให้อภัยและมองกันว่าเป็น “พี่น้องคนไทยเหมือนกัน”

ความรู้สึกของการเป็น “ครอบครัว” นั้น มันยิ่งใหญ่และสำคัญจริงๆ

 

มีหลายเหตุการณ์ที่เข้ามาทดสอบความเป็นชาติบ้านเมืองของเรา และทุกครั้งเมื่อเรารวมใจกันเป็นครอบครัวเดียวกัน เราก็สามารถรับมือและก้าวข้ามเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้

ดังนั้น หากมีใครคิดจะทำลายความเป็นชาติของเรา จึงมุ่งทำลายความรักใคร่กันแบบครอบครัวใหญ่ของเรานั่นเอง

อย่าให้ความแข็งแรงและงดงามของความผูกพันแบบครอบครัวไทยของเราสูญเสียไป

ในขณะที่คนอื่นในโลกต่างชื่นชมสิ่งนี้ที่เรามีอยู่ คนไทยบางคนกลับไม่เห็นคุณค่าสิ่งนี้

ไม่ได้จะให้ “ชาตินิยม” จนเกินพอดี แต่การรู้สึกยินดีกับสิ่งดีๆ ที่คนไทยด้วยกันทำ และส่งเสริมกัน ให้ค่ากัน ไม่อิจฉากัน ก็เป็นทางหนึ่งง่ายๆ ที่คนในครอบครัวใหญ่ครอบครัวนี้ทำได้

ไม่อย่างนั้น คงไม่ยินดีหรอกนะ ถ้าเชลซีทีมรักจะพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศเช่นนี้

ถ้าไม่ใช่เลสเตอร์ ซิตี้ ของคนไทย