จาก Bill Gates ถึง Mark Zuckerberg สู่ Elon Musk เหตุใดเจ้าสัวทุ่มใจให้โรงเรียน/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

จักรกฤษณ์ สิริริน

 

จาก Bill Gates

ถึง Mark Zuckerberg สู่ Elon Musk

เหตุใดเจ้าสัวทุ่มใจให้โรงเรียน

 

ย้อนไปในอดีต เมื่อ “เจ้าสัวทุ่มใจให้โรงเรียน” ประกาศเปิดตัวโครงการ The $1-a-week school โลกก็แซ่ซ้องด้วยความชื่นชม

The $1-a-week school หรือ “โรงเรียน 1 ดอลลาร์” คือการจับมือกันระหว่าง Mark Zuckerberg เจ้าของ Facebook และ Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft

คำว่า “โรงเรียน 1 ดอลลาร์” นั้น เป็นเพียงแค่ Slogan คล้ายกับ “30 บาท รักษาทุกโรค” คือเก็บเงินเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นสัญลักษณ์

เพราะในทางปฏิบัตินั้น The $1-a-week school ไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียนแต่อย่างใด และนอกจากจะไม่เก็บค่าเทอมแล้ว ยังแจก Coupon ให้ผู้ปกครองเอาไปซื้อหนังสือหรืออุปกรณ์การศึกษา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนมีอาหารให้กินฟรี 3 มื้อ!

นอกจากสวัสดิการแล้ว หัวใจหลักที่ Mark Zuckerberg และ Bill Gates เน้นเป็นพิเศษ ก็คือคุณภาพของครูผู้สอน

ดังนั้น จึงมีการจัดทำโครงสร้างค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถ และความเหนื่อยยากของครู พูดอีกแบบก็คือ “เงินเดือนครูที่นี่สูงมาก”

แต่ก็มีข้อแม้ประการหนึ่ง คือครูจะต้องสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ The $1-a-week school ตั้งไว้ ซึ่งบอกเลยว่า “หินมาก” เช่นกัน

เช่นเดียวกับ Bill Gates และ Mark Zuckerberg ล่าสุด Elon Musk ขอร่วมขบวน “เจ้าสัวทุ่มใจให้โรงเรียน” อีกคน

นั่นก็คือ การเปิดตัว Astra Nova School

ชื่อเดิมของ Astra Nova School คือ Ad Astra โรงเรียนเล็กๆ หรือจะเรียกว่า Home School ก็ได้

Ad Astra มาจากภาษาละติน แปลว่าเดินไปสู่ดวงดาว ที่เริ่มต้นด้วยนักเรียนเพียง 5 คน คือบุตรของ Elon Musk เจ้าของ Tesla, SpaceX และ Hyperloop One

โดย Elon Musk ได้เชิญ Joshua Dahn นักการศึกษา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเด็ก Gifted หรือ “เด็กปัญญาเลิศ”

มาร่วมออกแบบหลักสูตร ซึ่งมุ่งเน้นไปที่วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวกรรมหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์

เกาะเกี่ยวไปกับแนวคิดการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมุ่งเน้นพัฒนาทักษะให้ผู้เรียนเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ฝึกการคิดเชิงกลยุทธ์ การทำงานเป็นทีม ฯลฯ

นับจากปี ค.ศ.2015 จนถึงปีนี้ Elon Musk พร้อมแล้วที่จะเปิดตัว Astra Nova School (มาจากภาษาละติน แปลว่าดาวดวงใหม่) ซึ่งพัฒนามาจาก Ad Astra

เปิดรับสมัครนักเรียนภายนอกให้เข้ามาเรียนที่ Astra Nova School แห่งนี้ได้ นอกเหนือจากลูกของเขา และลูก-หลานพนักงาน Tesla, SpaceX และ Hyperloop One

โดย Elon Musk ได้แต่งตั้งให้ Joshua Dahn ที่ร่วมบุกเบิกด้วยกันมา นั่งแท่นครูใหญ่คนแรกของ Astra Nova School

 

Elon Musk และ Joshua Dahn ประกาศขับเคลื่อน Astra Nova School ด้วย Platform การศึกษาในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง ภายใต้รหัส Synthesis

Synthesis เป็นแนวคิดการสร้าง Platform การศึกษาที่ผู้เรียนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเกาะเกี่ยวไปกับแนวคิด Child-Centered หรือทฤษฎี “ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง”

ในแนวทางของการสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่สนุกสนาน ผสมผสานการเรียนกับบันเทิงเข้าด้วยกัน หรือ Edutainment

ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหลักสูตรผ่าน Game ที่ซับซ้อน หรือการจัดการเรียนการสอนผ่านการจำลองสถานการณ์ หรือ Simulation

ทั้งหมดนี้ มีเป้าหมายเพื่อเป็นการฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหาให้กับเด็กๆ

ที่เน้นให้เด็กสามารถ “แก้ปัญหาได้จริง” หรือเน้นการปฏิบัติ ซึ่งแตกต่างจากการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 20 ที่เน้นทฤษฎี

แปลไทยเป็นไทยก็คือ Astra Nova School ไม่ได้สอนขั้นตอนการแก้ปัญหา เพราะแต่ละปัญหา “ไม่มีสูตรสำเร็จ” ในการแก้ปัญหาที่ตายตัว

แต่สอนวิธีการแก้ปัญหาด้วยการ “ลงมือทำ” ผ่านสถานการณ์ต่างๆ นั่นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Astra Nova School เน้นหนักเป็นอย่างมากกับ Soft Skill หรือ “ทักษะทางสังคม”

เริ่มต้นด้วยการที่ Astra Nova School ไม่มีการแบ่งเกณฑ์อายุ จึงไม่ต้องแยกเด็กออกเป็นช่วงชั้น

เนื่องจาก Elon Musk และ Joshua Dahn เชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนด้วยกันได้ แม้อายุจะต่างกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กแต่ละคนมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติ และความสนใจที่แตกต่างกันไปตามช่วงวัย

Elon Musk และ Joshua Dahn เน้นว่า เด็กที่เรียนที่นี่ทุกคนต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมใน Project เดียวกันให้ได้!

 

นอกจากนี้ ที่ Astra Nova School เด็กๆ จะได้รับการเอาใจใส่อย่างจริงจัง และใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ควบคู่ไปกับประสบการณ์หลากหลายที่มีความหมายต่อชีวิต

การเน้นหนักกับ Soft Skill ที่สำคัญก็คือ ที่นี่ “ไม่มีการให้คะแนน” มีแต่ให้การยกย่องคุณค่าของเด็กแต่ละคน

และ “ไม่มีการตัดเกรด” มีแต่การส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นของเด็กแต่ละคน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบาย “ไม่เลือกปฏิบัติ” ของ Elon Musk และ Joshua Dahn

ไม่ว่าจะเรื่องเชื้อชาติ สัญชาติ สีผิว ยอมรับ และสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ภายใต้ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง

ในปีการศึกษาใหม่ที่กำลังจะมาถึง Astra Nova School กำลังเปิดรับนักเรียนอายุ 10-14 ปี โดยนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกจะได้เรียนฟรีทุกคน

และสามารถเรียนจากที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ เพราะเป็นการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบ Online อย่างเต็มรูปแบบ

 

จะเห็นได้ว่า ทั้ง Astra Nova School ของ Elon Musk และทั้ง The $1-a-week school ของ Mark Zuckerberg กับ Bill Gates

เกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ “ปัญหาในแวดวงการศึกษา” ปัจจุบันอย่างแท้จริง

Astra Nova School และ The $1-a-week school เกิดขึ้นมาก็เพราะ ทั้ง Elon Musk และทั้ง Mark Zuckerberg กับ Bill Gates นั้น

ต่างก็เล็งเห็นว่า หลักสูตรของโรงเรียนทุกวันนี้ ทำให้ “ตัวเขา” และ “บุตรหลานของเขา” ไม่ได้รับ “ความรู้” และ “ทักษะที่จำเป็น” ต่อการดำรงชีวิตใน “โลกแห่งความเป็นจริง”

หรือ “โลกในศตวรรษที่ 21” ที่เด็กๆ จำเป็นต้องมีทักษะหลากหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทักษะทางสังคม” หรือ Soft Skill

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเราย้อนไปดูประวัติของ Bill Gates และ Mark Zuckerberg แถม Steve Jobs อีกคน

ก็จะพบว่าทั้ง 3 คนเรียนไม่จบ แต่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็น “เจ้าสัวโลก”

ทั้ง 3 คนเรียนไม่จบ เพราะทั้ง 3 คน “เก่งกว่าโรงเรียน” “เก่งกว่าครู” และเชื่อมั่นว่า สามารถ “ประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าอาจารย์”

มีเพียง Elon Musk เท่านั้นที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา แต่ก็พิสูจน์แล้วว่า เขาไม่ปลื้มระบบการศึกษาในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง

เขาจึงก่อตั้ง Ad Astra และ Astra Nova School ซึ่งเป็น “โรงเรียนของตัวเอง” ที่มีปรัชญาแตกต่างจาก “โรงเรียนกระแสหลัก” ขึ้นมา

แน่นอนว่า รูปแบบของ Astra Nova School ไม่ใช่ “ธุรกิจการศึกษา” ที่จะสร้างกำไรให้กับ Elon Musk

แต่เป็นการออกแบบ “Platform ต้นแบบ” ที่มีชื่อว่า Synthesis ซึ่งมี “หัวใจสำคัญ” คือให้โอกาสทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน

พุ่งเป้าไปยัง Soft Skill หรือ “ทักษะทางสังคม”

หากถามว่า เหตุใด “เจ้าสัว” ไม่ว่าจะเป็น Bill Gates และ Mark Zuckerberg โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Elon Musk จึง “ทุ่มใจให้โรงเรียน”

ตอบได้ว่า เกิดจากความไม่เชื่อในการจัดการศึกษา พวกเขาจึงหันหลังให้กับระบบการศึกษา และควักกระเป๋าตั้งโรงเรียนของตัวเองขึ้นมา

เพื่อ “จุดประกายความคิด” แนวทางการสร้างโรงเรียนที่ถูกที่ควร

แนวการสร้างโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนดำรงชีวิตอยู่ได้ใน “โลกแห่งความเป็นจริง”

หรือ “โลกในศตวรรษที่ 21” นั่นเอง!