ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | นงนุช สิงหเดชะ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ
“อังกฤษ” ทำโลกคว่ำคะมำหลายตลบ
โลกในระยะ 1 ปี มานี้นับว่า “เหนื่อย” จริงๆ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน เพราะเผชิญกับความผันผวนทางการเมืองแบบสุดขั้ว เนื่องจากประเทศประชาธิปไตยใหญ่ๆ เกิดความเปลี่ยนแปลง
เริ่มจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ชาวอังกฤษลงประชามติให้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) แบบพลิกความคาดหมาย จากเดิมที่โพลชี้ออกมาว่าฝ่ายที่ต้องการให้อยู่จะชนะ
ในครั้งนั้นทำให้โลกสะเทือน ค่าเงินปอนด์ดิ่งรุนแรงสร้างความปั่นป่วนอย่างฉับพลัน
แม้แต่คนอังกฤษที่อยากอยู่ในอียูต่อไปก็โกรธจัด ถึงกับประท้วงอยู่พักใหญ่
โดยชาวลอนดอนขอแยกตัวจากอังกฤษไปอยู่กับอียู เนื่องจากทำให้ลอนดอนสูญเสียหลายอย่าง โดยเฉพาะการสูญเสียฐานะศูนย์กลางการเงินโลก และสร้างความบาดหมางระหว่างอียูกับอังกฤษมาตลอด
ขณะที่สังคมอังกฤษก็ร้าวฉานอย่างหนักระหว่างฝ่ายอยากอยู่กับอยากออก
เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีแบบพลิกล็อก และเขย่าโลกไปครั้งใหญ่อีกรอบเนื่องจากประกาศนโยบายที่ตรงข้ามกับรัฐบาลก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง
นั่นคือไม่สนับสนุนการค้าเสรี และหันหลังกลับไปอ้าแขนรับนโยบายปกป้องกีดกันการค้า ส่งผลให้คู่ค้าและพันธมิตรสหรัฐทั่วโลกกุมขมับ
กรณีของทรัมป์นั้นขณะนี้ชาวโลกยังต้องรอลุ้นว่า เขาจะอยู่ครบเทอมหรือไม่
หรือว่าจะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ
เพราะมีเรื่องด่างพร้อยไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะประเด็นของการรู้เห็นเป็นใจกับรัสเซีย ปล่อยให้รัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐ
รวมทั้งปัญหาจริยธรรมอีกหลายเรื่อง ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวทำให้ตลาดและโลกเริ่มไม่มั่นใจว่าทรัมป์จะสามารถเดินหน้าแผนเศรษฐกิจได้ตามที่ประกาศเอาไว้
พอมาถึงเดือนมิถุนายนปีนี้ดูเหมือนอังกฤษไม่ยอมหยุดเขย่าโลก เพราะผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา พรรคอนุรักษนิยมของ เทเรซา เมย์ ได้คะแนนเพียง 318 ที่นั่งไม่เพียงพอจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว (ต้องได้ 326 ที่นั่งขึ้นไป)
ทำให้ความหวังที่จะเดินหน้ากระบวนการเจรจาออกจากอียูหรือเบร็กซิทเริ่มไม่ราบรื่น ส่อเค้ามีปัญหา พร้อมๆ กับที่พรรคฝ่ายค้านเรียกร้องให้เธอลาออก
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้กลายเป็นฝันร้ายและช็อคเธอเสียเอง เมื่อกลายเป็นว่าแทนที่จะได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น ก็กลับลดลง ขณะที่พรรคฝ่ายค้านกลับได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นมาก
เมื่อผลออกมาเช่นนี้เธอถูกตำหนิอย่างมากว่าโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
เพราะเธอเองที่เลือกประกาศยุบสภาเลือกตั้งก่อนกำหนดถึง 3 ปี (ประกาศยุบสภาเมื่อ 18 เมษายนปีนี้) เพราะเห็นว่าเรตติ้งกำลังดีเหนือพรรคฝ่ายค้าน จึงหวังว่าน่าจะได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น (จากเดิมที่นำอยู่ 17 เสียง)
เมย์ประกาศยุบสภา ทั้งที่เคยพูดหนักแน่นว่าจะไม่ยุบสภาก่อนกำหนด โดยอ้างว่าที่ต้องเลือกตั้งเร็วเนื่องจากต้องการฉันทามติจากประชาชนในการมอบอำนาจเด็ดขาดให้เธอในกระบวนการเจรจาเบร็กซิทกับอียู
แต่ทางอียูได้สวนกลับมาว่า ผลการเลือกตั้งอังกฤษไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการเพิ่มอำนาจต่อรองกับอียู เพราะหลักเกณฑ์และกรอบการเจรจาออกจากอียูได้กำหนดไว้ล่วงหน้าตายตัวแล้ว
การที่เมย์นำเรื่องนี้มาอ้างเป็นแค่การหาข้อแก้ตัวเพื่อแก้ปัญหาภายในพรรคของเธอเอง
การประกาศยุบสภาก่อนกำหนดในครั้งนั้น นับว่าสร้างความแปลกใจและช็อคให้กับทั้งสมาชิกพรรคของเธอเองและฝ่ายค้าน
ขณะที่หลายคนก็ตำหนิเธอว่าไม่มีความจำเป็นต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ (ธรรมชาติของ ส.ส. ไม่มีใครอยากเลือกตั้งก่อนกำหนด)
เมื่อผลเลือกตั้งออกมาแบบนี้ คือพรรคของเมย์ได้คะแนนน้อยลง 13 ที่นั่ง แต่ฝ่ายค้านคะแนนพุ่งพรวดได้เก้าอี้เพิ่ม 29 ที่นั่ง หลายคนจึงพูดเป็นเสียงเดียวว่าเธอจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าการที่พรรครัฐบาลได้คะแนนน้อยลง อาจเป็นเพราะระยะใกล้เลือกตั้งมีเหตุก่อการร้ายหลายครั้ง ทำให้คนถามถึงประสิทธิภาพรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังโยงไปด้วยว่าสมัยที่เมย์เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยเธอสั่งลดกำลังตำรวจ ทำให้การรักษาความปลอดภัยด้อยประสิทธิภาพลง
ส่วนบางคนก็ว่าเป็นเพราะตอนหาเสียง เธอดันไปส่งสัญญาณว่าบรรดาคนแก่ทั้งหลายอาจต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อแลกกับการได้รับการดูแลด้านสังคม
อย่างไรก็ตาม ความนิยมที่น้อยลงนี้ อาจเป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งเกิดจากคนหนุ่มสาวอังกฤษไม่ต้องการออกจากอียู เพราะอย่าลืมว่าคนอังกฤษกว่า 2 ล้านคนซึ่งทำงานและอาศัยอยู่ในอียู เสี่ยงจะถูกตัดสิทธิต่างๆ ที่เคยมีในฐานะพลเมืองอียู ส่วนคนที่ทำภาคเกษตรก็เกรงว่าต่อไปพวกเขาจะหาแรงงานมาช่วยทำงานได้ยาก
นอกจากนี้ อย่าลืมว่าในการลงประชามติออกหรือไม่ออกจากอียูเมื่อปีที่แล้ว มีตัวเลขหนึ่งที่แสดงว่าเหตุที่ฝ่ายออกชนะ ก็เพราะบรรดาคนแก่ไปลงคะแนนมาก ส่วนคนหนุ่มสาวไปใช้สิทธิน้อย โดยอาจเพราะขี้เกียจหรือเพราะคิดว่าถึงอย่างไรฝ่ายอยู่ก็จะชนะ (เนื่องจากเชื่อโพล)
ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ คนหนุ่มสาวที่นอนหลับทับสิทธิการลงประชามติครั้งที่แล้ว พากันออกไปใช้สิทธิอย่างเต็มกำลัง เพื่อที่อย่างน้อยก็ส่งสัญญาณว่าไม่ต้องการมอบอำนาจเด็ดขาดให้ เทเรซา เมย์ ไปเจรจาออกจากอียู
ผลเลือกตั้งครั้งนี้ ยังช่วยพลิกสถานการณ์ของ เจเรมีย์ คอยบีน หัวหน้าพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน
เพราะตอนที่ประชามติออกมาว่าฝ่ายออกชนะ เขาถูกตำหนิอย่างรุนแรงและกดดันให้ลาออกเพราะไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอังกฤษเห็นถึงผลดีของการอยู่ในอียู
กล่าวได้ว่าปีนี้การเมืองในยุโรป สร้างความระส่ำแก่โลกหลายระลอก
เมื่อโล่งอกจากกรณีฝรั่งเศส ที่ฝ่ายขวาจัดไม่ชนะเลือกตั้ง
ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองก็วนกลับมาที่อังกฤษ