โควิด-ก็เรื่องรัฐธรรมนูญ / ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

โควิด-ก็เรื่องรัฐธรรมนูญ

 

การระบาดระลอก 3 ของโควิดในประเทศไทย ไม่เพียงแพร่กระจายรวดเร็วและรุนแรงอย่างมาก จนถึงขั้นต้องเปิดโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับคนป่วยที่ล้นโรงพยาบาล กลายเป็นสถานการณ์วิกฤตที่น่าหนักใจ เกินกว่าจะควบคุมได้ง่ายๆ

ไม่เท่านั้น การระบาดหนนี้ ยังกลายเป็นเหตุการณ์ป่าวประจาน การบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโควิดของรัฐบาลอย่างหมดเปลือก

จากเดิมทีที่นายธนาธร จึงรุงเรืองกิจ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้หลายเดือนแล้ว ว่าการเลือกจัดหาวัคซีนแบบแทงม้าตัวเดียว คือความผิดพลาดครั้งใหญ่

ครั้นเกิดการระบาดใหญ่ในระลอก 3 ทำให้ทั่วทั้งสังคมไทยได้ตระหนักว่า เราอยู่ในสถานการณ์ที่วัคซีนล่าช้าและไม่เพียงพออย่างแท้จริง

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ออกมาแถลงใหญ่ เน้นย้ำว่าเรามีอาวุธเด็ดคือ แมสก์ ดิสแทนซิ่ง ล้างมือ และใช้ช้อนกลาง

ยิ่งทำให้ประชาชนคนไทยห่อเหี่ยวใจ เพราะทั่วโลกเขาฉีดวัคซีนกันไปมากมายและกว้างขวาง

ที่อิสราเอลมีการประกาศความสมบูรณ์พร้อมในการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ครบถ้วน ทำให้กิจกรรมสังคมเริ่มกลับคืนมา ประชาชนเริ่มใช้ชีวิตได้ปกติ เริ่มถอดหน้ากากได้แล้ว และหลายชาติใหญ่ในยุโรปกำลังจะเริ่มประกาศเช่นเดียวกันนี้

สำคัญที่สุดเมื่อฉีดวัคซีนได้ครบถ้วน ก็หมายความว่า ชีวิตปกติจะกลับมา การค้าขาย เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้น ในอนาคตการท่องเที่ยวก็จะกลับมาได้ อันหมายถึงการฟื้นฟูของรายได้ประชาชน

คำกล่าวที่ว่า วัคซีนไม่แค่ป้องกันโควิด แต่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจด้วยนั้น สำคัญอย่างยิ่ง

ประเด็นนี้แหละ ที่ตรงข้ามกับสถานการณ์ในบ้านเรา เพราะวัคซีนมาล่าช้า ทำให้เรายังวุ่นวายกับการระบาดหนักระลอกใหม่!

จากข้อสังเกตของนายธนาธร จากข้อท้วงติงของพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ที่รัฐบาลไม่รับฟังและโต้ตอบโดยตลอด

ไปๆ มาๆ ระดับเจ้าสัว ระดับสภาอุตสาหกรรม นักธุรกิจใหญ่ๆ พากันออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดให้เอกชนช่วยกันนำเข้าวัคซีนโควิด

แสดงให้เห็นถึงกระแสเรียกร้องต้องการวัคซีน ลุกลามและร้อนแรงไปทั่ว!!

จากที่เคยเสียงแข็งกับนายธนาธรและฝ่ายค้าน ทำให้รัฐบาลต้องเริ่มเปลี่ยนท่าที วิ่งวุ่นเพื่อแก้ปัญหานำเข้าวัคซีนเป็นพัลวัน รวมทั้งขานรับท่าทีของเหล่าเจ้าสัวและนักธุรกิจต่างๆ

แต่กระนั้นก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ได้ออกมาชี้แจงเรื่องการสั่งวัคซีนล่าช้า โดยแม้ปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งน้อยหรือสั่งช้า แต่ก็ยอมรับว่า เพราะการจัดหาวัคซีนนั้น รัฐบาลประเมินตามสถานการณ์ที่เป็นจริง ในช่วงแรกประเทศเราควบคุมการระบาดได้ดี จึงจัดหาวัคซีนตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น อีกทั้งต้องการรอดูผลของวัคซีน เพื่อให้ประชาชนไทยเกิดความปลอดภัยที่สุด

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ตามมาก็คือชีวิตประชาชนไทยจะปลอดภัยที่สุด ก็คือต้องมีวัคซีนมาให้เร็วที่สุดมากกว่า

อีกทั้งคำชี้แจงของนายกฯ ดังกล่าว สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการวัคซีนอย่างชัดแจ้ง!

 

มีเสียงวิจารณ์มาตลอดว่า พล.อ.ประยุทธ์พร้อมคณะผู้นำกองทัพ เข้าสู่อำนาจจากสถานการณ์ความวุ่นวายอลหม่านด้วยม็อบชัตดาวน์ จึงอ้างเป็นเหตุในการรัฐประหารยึดอำนาจการเมืองจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

จากนั้นก็อ้างเรื่องการควบคุมสถานการณ์ การยุติความขัดแย้งแตกแยก หยุดความรุนแรงด้วยอาวุธของกลุ่มต่างสี รวมทั้งรอให้รัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น ซึ่งร่างกันถึง 2 รอบ จนคนร่างรอบแรกต้องบอกกล่าวกับสังคมว่า “เขาอยากอยู่ยาว”

รัฐบาลรัฐประหารอยู่ในอำนาจถึง 5 ปี ก่อนจะเปิดให้เลือกตั้ง ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เขียนไว้เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป โดยกำหนดให้ 250 ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ ได้

ท่ามกลางเสียงท้วงติงว่า ทุกครั้งที่เกิดรัฐประหาร เศรษฐกิจชีวิตปากท้องประชาชนจะถดถอย แถมรัฐบาลทหารอยู่ยาวถึง 5 ปี มีแต่การทรุดของธุรกิจการค้า ดังนั้น การเมืองไทยควรกลับมาสู่ความเป็นปกติโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถฉุดเศรษฐกิจให้โงหัวกลับมาได้

แต่แล้วหลังเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์และผู้นำกองทัพที่ร่วมรัฐประหารก็ยังอยู่ในอำนาจต่อไป

จนกระทั่งในปี 2563 เกิดสถานการณ์โควิดระบาดทั่วโลกและในประเทศไทย เจอมาตรการด้านสาธารณสุขแข็งกร้าว ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ประชาชนเต็มไปด้วยความยากลำบาก มาในปี 2564 เกิดระบาดระลอกใหม่ รุนแรงกว่าเดิม เศรษฐกิจยิ่งไม่ฟื้น

แล้วปัญหาการจัดหาวัคซีนก็สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของรัฐบาล จนทำให้เห็นว่า นอกจากจะคุมโควิดไม่อยู่แล้ว เศรษฐกิจยิ่งไม่เห็นหนทางฟื้นกลับมาได้ง่ายๆ

จนทำให้ประชาชนเริ่มหันไปฟังเสียงของคนที่คิดกว้างไกล รอบทันโลก ไม่ว่าจะเป็น “โทนี่ วูดซั่ม” หรืออดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร คนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารธุรกิจขนาดใหญ่มาแล้ว

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ทั้งชีวิตอยู่ในกองทัพ ย่อมมีความยากลำบากในการบริหารประเทศในสถานการณ์ที่ต้องการการเชื่อมโยงกับทั่วโลกเพื่อนำวัคซีนเข้ามา และหาหนทางพลิกเศรษฐกิจให้กลับมาให้ได้รวดเร็ว ด้วยไอเดียอันเฉียบแหลม

คำแถลงในเรื่องวัคซีนต่างๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์กลายเป็นเรื่องล้อเลียนกันสนุกในโซเชียล

แต่ทั้งหมดคือคำถามถึงความสามารถในสถานการณ์โควิด การเชื่อมโยงกับโลก และการมีแนวคิดด้านเศรษฐกิจที่เหนือชั้น

 

ก่อนหน้านี้ การเคลื่อนไหวเพื่อให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้มีคำอธิบายที่ง่ายๆ ชัดเจนที่สุดก็คือ ถ้าเรายังใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็จะเกิดการเมืองผูกขาด ได้นายกฯ ที่กำหนดกันเองในกลุ่มผู้มีอำนาจ แต่ไม่ใช่นายกฯ ที่ประชาชนต้องการ หรือที่ประชาชนเห็นว่าสอดรับกับปัญหาของประชาชนในเวลานี้

ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญที่เปิดกว้าง เราจะไม่ได้การเมืองที่เสรี และเป็นระบบการเมืองที่ไม่เปิดให้คนรุ่นใหม่ๆ คนเก่งกาจเหมาะกับปัญหาบ้านเมืองในเวลานี้ คนวิสัยทัศน์กว้างไกลก้าวทันโลก ได้เข้ามาร่วมบริหารบ้านเมือง

ถ้าไม่แก้รัฐธรรมนูญ เราก็จะอยู่กับคณะผู้นำที่มียศทหารนำหน้า แวดล้อมด้วยคนใกล้ชิดที่ออกมาท้าต่อยท้าตีกับคนคิดต่างวันละหลายๆ รอบ ไม่มีความเจริญงอกงามใดๆ

ที่บรรดา ส.ส.และ ส.ว.เหล่าองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล ออกมาตอบโต้การเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญว่า เลิกทำได้แล้ว ตอนนี้ประชาชนเขาไม่สนใจหรอกว่า เราจะมีรัฐธรรมนูญแบบไหน เพราะปัญหาใหญ่ของประชาชนขณะนี้ คือรอรัฐบาลช่วยเหลือเยียวยา การแก้ไขปัญหาโควิด

แล้วผลเป็นเช่นไร!?

ไปๆ มาๆ ก็เห็นกันแล้วว่า รัฐบาลไม่สามารถจัดการวัคซีนได้ดีพอ ไม่สามารถหยุดยั้งการระบาดระลอกใหม่ได้

ถ้าการเมืองไทยยังเป็นเช่นนี้ ยังมีกติกาที่ให้ 250 ส.ว.อยู่เหนือเสียงประชาชนหลายล้านที่ไปเลือกตั้ง เราก็ยังจะอยู่กับคณะผู้นำดังกล่าวนี้ไปอีกยาวนาน จะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ จะหาคนรุ่นใหม่ๆ คิดทันสมัยเข้ามาร่วมบริหารงานไม่ได้

ได้แต่ฟัง “โทนี่” ในคลับเฮาส์ แล้วก็เศร้าสลดกับความจริงของบ้านเมืองเราต่อไป

เรื่องปัญหาโควิด ปัญหาวัคซีนล่าช้า และปัญหาเศรษฐกิจ จึงเป็นเรื่องเดียวกันกับปัญหารัฐธรรมนูญ

ถ้าการเมืองไม่ดี เศรษฐกิจก็ไม่ได้ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนก็ไม่ดีไปด้วย!