ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
ในประเทศ
รัฐบาล-คสช.ลุ้นระทึก
4 คำถามจากใจ “บิ๊กตู่” จะ “เปรี้ยง” หรือจะ “แป้ก”
“ทุกคนให้ความสำคัญกับ 4 คำถามมากไปหรือเปล่า ผมไม่ได้บอกว่าประชาชนจะต้องมากดไลก์ทั้ง 6 ล้านคน มันไม่ใช่ จะกี่ล้าน ผมไม่รู้ จะคนเดียวหรือ 10 คน ผมก็รับฟัง มี 100 คนก็รับฟัง 100 คนว่าเขาว่าอย่างไร”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถึงการเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนต่อ 4 คำถาม วันแรกเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ซึ่งบรรยากาศไม่คึกคักมากนัก
หนังสือพิมพ์พาดหัวใช้คำว่า “เงียบเหงา” บ้างใช้คำว่า “จืด” ขณะที่กระทรวงมหาดไทยใช้คำว่า “ราบเรียบ”
ส่วนตัวเลข “6 ล้านไลก์” ที่พาดพิงถึง
น่าจะมีที่มาจากตัวเลขแฟนเพจเฟซบุ๊กของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีคนเข้าไป “กดไลก์” ครบ 6 ล้าน เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา
สำหรับคำถาม 4 ข้อ มีจุดกำเนิดจาก พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการศาสตร์แห่งพระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำคืนวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม
1. ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่
2. หากไม่ได้จะทำอย่างไร
3. การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงเรื่องอนาคตของประเทศและเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
4. ท่านคิดว่ากลุ่มการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้าสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก แล้วจะให้แก้ไข และ/แก้ไขด้วยวิธีอะไร
ในแบบสอบถามที่กระทรวงมหาดไทยจัดทำขึ้น ข้อ 1 กับข้อ 3 เป็นคำถาม “ปลายปิด” มีช่องสี่เหลี่ยมให้ทำเครื่องหมายตอบว่า “ได้” หรือ “ไม่ได้” กับ “ถูกต้อง” หรือ “ไม่ถูกต้อง” เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น
ส่วนข้อ 2 กับข้อ 4 เป็นคำถาม “ปลายเปิด” ให้ผู้ตอบเขียนแสดงความเห็นตามขอบเขตคำถามได้เต็มที่
โดยเฉพาะข้อ 4 มีการขีดเส้นใต้ข้อความ “ควรจะมีโอกาสเข้าสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และ/แก้ไขด้วยวิธีอะไร”
เน้นย้ำไว้ด้วย
กระทรวงมหาดไทยเอาการเอางานอย่างยิ่ง หลังได้รับมอบหมายเป็นเจ้าภาพ สานเจตนารมณ์ 4 ข้อคำถามทางการเมืองครั้งนี้
นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย กำชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้รับทราบอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นคำถามทั้ง 4 ข้อ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาไม่น้อย โดยเฉพาะจากฝ่ายการเมือง ไม่ว่า “เนื้อหา” และ “รูปแบบ” การได้มาซึ่งคำตอบ
ด้าน “เนื้อหา” นั้น นอกจากเป็นชุดคำถามค่อนข้างยาก ไม่ค่อยชัดเจน ทำให้ตอบยากและเกิดความสับสน
ยังมีการตั้งข้อสงสัยตั้งแต่วันแรกที่นายกฯ เสนอชุดคำถามนี้ขึ้นมาว่า อาจมีจุดมุ่งหมายทางการเมือง เกี่ยวโยงถึงการเปลี่ยนแปลงโรดแม็ปเลือกตั้งหรือไม่
เนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่นาน เกิดเหตุ “ระเบิด” 3 ลูกซ้อน หน้ากองสลากเก่า หน้าโรงละครแห่งชาติ และภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในเวลาไล่เลี่ยกัน
จนมีการส่งสัญญาณ “ถ้าไม่สงบ ไม่เลือกตั้ง”
หลักเกณฑ์กติกาการตอบคำถาม ที่กระทรวงมหาดไทยคิดค้นขึ้น ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นกันว่า
นอกจากเป็นอุปสรรค ทำให้คนหวั่นเกรงว่าการพูดความจริงจะนำเภทภัยมาสู่ตัว ยังเสี่ยงที่จะเกิดการ “ชี้นำ” จนทำให้คำตอบผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด และขอความร่วมมือไปยังกรุงเทพมหานคร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดสถานที่รับฟังความคิดเห็น
ที่ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ (1111) ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กรุงเทพมหานคร และศูนย์บริการประชาชนเขตทุกเขต
รวมทั้งสิ้น 1,007 แห่ง ในเวลาราชการ 08.30-16.30 น. ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน โดยยังไม่กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการรับฟัง
แต่จุดที่เป็นปัญหาพูดถึงกันมาก
คือการให้ผู้แสดงความเห็นต้องระบุชื่อ นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน ที่อยู่ อายุ เพศ อาชีพ การศึกษา และหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ รวมถึงต้องลงลายมือชื่อกำกับไว้ท้ายแบบสอบถาม
กระทรวงมหาดไทยชี้แจงว่า ที่ต้องให้กรอกข้อมูลโดยละเอียดและต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชนก็เพื่อยืนยันตัวตน ป้องกันการมั่วสวมสิทธิ์ และเป็นหลักฐานว่า ไม่ได้เป็นคนที่ทางการเกณฑ์มา
พร้อมยืนยันการแสดงความคิดเห็นข้อเสนอแนะครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้ปรับปรุงพัฒนาการทำงานของรัฐบาล
ไม่เกี่ยวและไม่มีผลกับเรื่องเลือกตั้งใดๆ ทั้งสิ้น
กระนั้นก็ตาม ภายหลังเปิดให้ประชาชนตอบแบบสอบถามในวันแรก บรรยากาศเป็นไปอย่าง”ราบเรียบ”
ทำให้กระทรวงมหาดไทยต้องปรับแผนประชาสัมพันธ์ใหม่ เตรียมพิจารณาเพิ่มจุดรับฟังในศูนย์การค้าและช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสะดวกมากขึ้น
ในส่วนของการรวบรวมความคิดเห็นประชาชน เพื่อส่งต่อไปยัง “เจ้าของคำถาม” กระทรวงมหาดไทยได้ตั้งคณะทำงานกลั่นกรองสรุปผลในระดับกระทรวง และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด
ตรงนี้เองที่ทำให้แต่ละจังหวัดต้องเร่ง “ทำยอด” จนไม่แน่ว่าจากความเงียบเหงาในช่วงแรก อาจกลับมาคึกคักในช่วงท้าย
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่ต้องจับตาดูว่า จะมีจังหวัดใดหรือไม่ ที่กล้าสรุปผลตอบคำถามแสดงความคิดเห็นของประชาชนอย่างตรงไปตรงมา หากพบว่า
คำตอบที่ได้ “ไม่ตรงใจ” ผู้มีอำนาจ
ข้อบ่งชี้ว่ารัฐบาลกำลังหวั่นไหวกับสถานการณ์ในหลายเรื่อง
ตอนแรกอาจเป็นเรื่องระเบิด แต่ต่อมาก็มีกรณีทหารพัวพันคดีค้าอาวุธ ปัญหาเศรษฐกิจทรุดตัวต่อเนื่อง ปัญหาราคายางตกต่ำ ปัญหาบัตรทอง เซ็ตซีโร่ กกต. ฯลฯ
รวมทั้งกรณีการบุก “ล้ม” งานเลี้ยงสังสรรค์กลุ่มอดีต ส.ส. กว่า 50 คนในโรงแรมหรูกลางกรุง โดยอ้างเหตุได้รับแจ้งให้มาตรวจค้นวัตถุต้องสงสัยเป็นระเบิด
ยังมีกรณีทหารกองทัพภาคที่ 2 อำนวยความสะดวกให้ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต รมช.เกษตรฯ พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีบทบาทเคลื่อนไหวปกป้องโครงการรับจำนำข้าว ได้ตอบคำถาม 4 ข้อถึงบ้านพัก
และการเชิญ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน เข้าไปพูดคุยในค่ายกองทัพภาคที่ 1
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ยืนยันว่า ยังไม่ถึงเวลา “ปลดล็อก” ให้ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง ตอนนี้ต้องการให้ “อยู่เฉยๆ” รอคำตอบ 4 ข้อจากประชาชนสะท้อนกลับมา
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอร้องนักการเมืองอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวพบปะกันเป็นคณะใหญ่ ทำให้เกิดความวุ่นวายสับสน จนกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล
สรุปคือพรรคการเมืองยังต้อง “ร้องเพลงรอ” ต่อไป
ถึงแม้ “เจ้าของคำถาม” จะไม่คาดหวังให้การตอบ 4 ข้อคำถามเป็นเรื่องราวใหญ่โต และไม่ได้ต้องการให้ประชาชนให้ความสำคัญมากจนเกินไป
แต่ก็ถูกมองเป็นแค่การออกตัว “แก้เขิน”
เพราะหากดูจากความกระตือรือร้นของกระทรวงมหาดไทย ในการสั่งการไปยังผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ
การขอร้องแกมบังคับไม่ให้นักการเมืองเคลื่อนไหว วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลช่วงนี้ จนเป็นประเด็นกลบกระแส 4 คำถามของนายกฯ ไป
รัฐบาลน่าจะตั้งความหวังไว้สูง ไม่ว่ากับตัวเลข “จำนวน” คนให้ความร่วมมือ หรือต่อ “ผลลัพธ์” ที่จะออกมา
เพราะหากคำตอบเป็นไปตามต้องการ ก็จะเป็นเครื่องปลอบประโลมใจช่วง “ขาลง”
ทั้งยังนำไปขยายผลได้อีกว่า กระแสความนิยมต่อรัฐบาลทหาร ยังคงอยู่ในระดับเหนือกว่ารัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง
ส่วนจะถูกนำไปเป็นเงื่อนไข เปลี่ยนแปลงโรดแม็ปตามที่ฝ่ายการเมือง “ดักคอ” ไว้หรือไม่ เป็นอีกประเด็นที่ต้องรอเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ด้วยเดิมพันดังกล่าว กลายเป็นแรงกระตุ้นให้รัฐบาลและ คสช. เอง ที่เป็นฝ่ายแสดงออกถึงการให้ความสำคัญกับ 4 คำถามของ พล.อ.ประยุทธ์ จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต
โดยเฉพาะช่วงแรกของการเปิดให้ตอบคำถาม
ไม่ใช่ในส่วนของประชาชน ที่คึกคักและให้ความสำคัญ