แพท พาวเวอร์แพท เชื่อ “ไม่มีอะไรสายเกินไป ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่”-รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

หลังต้องโทษ 16 ปี

เรื่องที่แพท พาวเวอร์แพท เชื่อสุดใจ

‘ไม่มีอะไรสายเกินไป ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่’

“ปกติเป็นคนคุยน้อยครับ” วรยศ บุญทองนุ่ม หรือแพท พาวเวอร์แพท ออกตัวตั้งแต่ช่วงต้นของการสนทนา

แต่ขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ เพื่อแสดงเจตนาว่า แม้จะพูดน้อยแต่ก็ยินดีที่จะแชร์ประสบการณ์และความรู้สึกให้ผู้อ่าน ‘มติชนสุดสัปดาห์’ ได้รับรู้ โดยแพทซึ่งเพิ่งได้รับอิสรภาพอีกครั้ง หลังต้องโทษยาวนานถึง 16 ปี 8 เดือน เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า ชีวิตเขาชัดเจน

ตั้งแต่ได้เข้าไปอยู่ ‘ข้างใน’

“มันมีเวลาที่จะคิดทบทวนตัวเอง แล้วก็ได้ถามคำถามกับใจตัวเองตลอดเวลา ว่าเราต้องการอะไรกันแน่”

และก็ได้คำตอบ

แพทซึ่งชื่นชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็ก-ผลจากการฟังเพลงกับพ่อที่รักเสียงเพลงเล่าว่า เขาอยากเล่นกีตาร์ตั้งแต่อายุ 10 หรือ 11 ขวบ แต่กว่าจะได้เริ่มต้นจริงก็ตอนได้กีตาร์เป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 13 ปี และไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็เริ่มเล่นเป็นอาชีพ ซึ่งนอกจากจะทำให้มีความสุขแล้ว ความมั่นใจที่ปกติก็มีมากอยู่ ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นๆ

“ดันประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยครับ เลยยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่”

แพทยังบอกอีกว่า ในวันนั้น เขาคิดว่าชีวิตของตัวเองเป็นชีวิตที่ดี แต่ ณ วันนี้ เมื่อมองย้อนกลับ เขาก็ตระหนักว่า นั่นเป็นห้วงเวลาที่อันตรายมาก

“ทั้งเรื่องการคบคน เรื่องอบายมุขต่างๆ เรื่องสุรา ยา แล้วก็เรื่องผู้หญิง เรื่องการขับรถ การคบเพื่อน อะไรที่เป็นวงจรด้านดาร์กๆ จะชอบเข้าไปยุ่ง รู้สึกว่ามันเป็นวิถีของร็อกสตาร์ ที่เราอาจจะซึมซับวัฒนธรรมมาโดยที่ไม่ทันได้แยกแยะ”

แต่กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น “ผมก็ไม่อยากไปโทษสิ่งแวดล้อมหรือใคร เพราะจุดเริ่มต้นก็น่าจะจากตัวเราเอง ความคิด แล้วก็ทัศนคติของเราที่มองโลก มองชีวิต ในแบบที่แปลกแยกจากวิถีของสังคม ทำให้เกิดจุดอันตรายหลายอย่างมาก”

 

ในวันที่โดนจับ วันที่ “เสียใจมากที่สุดในชีวิต” เพราะ “รู้สึกว่าอนาคต ความฝัน อาชีพมันจบสิ้น เหมือนเราทำลายด้วยมือของเราเอง แต่ในความเสียใจก็ยังมีพลังบางอย่างที่อยากจะพิสูจน์ ว่าเราสามารถที่จะปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ สามารถเก็บกู้ชีวิตที่มันพัง มันแหลกไปแล้ว ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ ซึ่งแน่นอน มันใช้เวลายาวนานมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสำเร็จ แต่ด้วยความสู้ ด้วยกำลังใจจากครอบครัว จากเพื่อนๆ พี่ๆ ทำให้เรามุ่งมั่นและอดทนในการทำต่อๆ มาจนถึงทุกวันนี้”

กับการอยู่ ‘ข้างใน’ แพทบอกว่า แต่ละคนคงมีมุมมองแตกต่างกัน หากสำหรับตัวเองเขาได้หลายๆ อย่างติดตัวออกมา

“มันแล้วแต่คน ว่าจะมองโอกาสข้างใน เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างไร เพราะทุกอย่างมันมี 2 ด้านอยู่แล้ว อยู่ที่เราเลือกมอง แล้วหยิบสิ่งดี แม้ภายในเรือนจำ คนทั่วไปอาจจะมองว่าเป็นสถานที่ที่ดูย่ำแย่ แต่ผมว่ามันมีสิ่งดีอยู่ มีการสอน มีการเรียนรู้ชีวิต มันทำให้เราได้ปรับเปลี่ยนจริงๆ”

เรื่องนี้ถ้าจะพูดให้ละเอียด เขาก็ว่า “มันเยอะมาก” ดังนั้น จึงขอพูดแต่หลักใหญ่ๆ ว่า “จะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิต เราควรจะคิดอะไรให้เยอะกว่าเดิม มองถึงคนรอบข้าง ถึงครอบครัว ถึงคนที่รักเราเป็นหลัก เพราะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา คนที่จะซัพพอร์ต ช่วยเหลือก็มีแต่คนในครอบครัว ยามที่เราลำบากก็เหลือแต่ครอบครัว”

“ส่วนเรื่องของการดำเนินชีวิต มันก็สอนให้เรารู้ว่า จริงๆ ชีวิตคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย อยู่ด้านในเขาก็มีการฝึกฝนในเรื่องการใช้สิ่งของต่างๆ เขาจะกำหนดว่าคุณมีเสื้อได้แค่ 5 ชุด คุณสามารถใช้เงินซื้อของส่วนตัวได้วันละไม่เกิน 300 บาท ทุกอย่างถูกฝึกฝนมา แล้วก็มีเหตุผลที่จะฝึก คือเขาให้เรารู้ ว่าจริงๆ แล้วคนเราด้วยเงินไม่กี่บาท เสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น ก็สามารถดำเนินชีวิตได้ อยู่ได้ปกติ ก็ไม่เห็นตาย”

“เพราะฉะนั้น มันทำให้เราคิดในมุมกลับ ว่าถ้าเราออกมาข้างนอก เราก็ต้องประหยัด แล้วไม่ไปไขว่คว้าสิ่งนอกกายมาก เพราะพอเกิดความโลภ อยากได้ อยากมี มันอาจจะเป็นกับดัก หลุมพรางให้ตัวเองตกลงไป แล้วทำให้ชีวิตย่ำแย่เหมือนที่เคยเจอมาได้”

 

ในวัย 41 ปี แพทบอกว่า นึกๆ แล้ว “ชีวิตผมค่อนข้างที่จะฮวบฮาบมาก เวลาขึ้น เวลาลงมันจะสุด สุดทุกอย่างเลย แต่เราก็ต้องมาวิเคราะห์กับสิ่งที่เราเจอ ว่ามันสอนอะไร แล้วเราเรียนรู้อะไรจากมัน ทั้งด้านที่ดีงาม ด้านที่แฮปปี้ ด้านที่แย่ๆ ของชีวิต ผมว่าตรงนี้มันสำคัญ มันจะเป็นเหมือนแนวทางในการดำเนินชีวิต และก็เป็นข้อคิดต่อไป”

กับการออกมาเริ่มต้นอีกครั้งในวันนี้ เขาก็ว่า “ทุกอย่างก็มีช่วงเวลาของมัน เหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ ก็คือต้องเป็นแบบนี้”

“ผมว่าไม่มีอะไรสายเกินไป ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ก็จะสามารถแก้ไข และเริ่มต้นใหม่ได้”