ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

 

‘เบนซ์ E-Class’ ประชัน ‘อาวดี้ Q3’

‘เก๋งหรู’ ยอดนิยมกับ ‘เอสยูวี’ ตัวแรง

 

ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แบรนด์รถยุโรปเปิดตัวรถใหม่กันจ้าละหวั่นจริงๆ โดยเฉพาะคู่แข่งตัวกลั่นจากเยอรมันทั้ง 3 ค่ายที่มาทำตลาดในเมืองไทย

ก่อนหน้านี้เป็น “บีเอ็มดับเบิลยู” ที่เปิดตัวพี่บิ๊กรุ่นใหญ่ “X7” และ “ซีรีส์ 3” รุ่นฐานล้อยาว (Long Wheelbase)

ล่าสุดเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ อวดโฉมรถรุ่นดังที่สุด “E-Class” เป็นรุ่นที่ยืนยงคงกระพันเหลือเกิน เพราะเปิดตัวครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2489

มียอดขายสะสมมากถึง 14 ล้านคันทั่วโลก

เฉพาะตัวถัง W213 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ.2559 ก็สามารถทำยอดขายสะสมทั่วโลกรวมกว่า 1.2 ล้านคัน

ส่วนอีกค่ายจากแดนไส้กรอกเช่นกัน “อาวดี้” ส่งเอสยูวี “Q3” เข้าร่วมประกวด

เพื่อไม่ให้เนิ่นนานเกินไป “ยานยนต์สุดสัปดาห์” ถือโอกาสนำ “E-Class” และ “Q3” นำเสนอพร้อมกันในฉบับนี้

 

ค่ายดาวสามแฉกส่ง “The new E-Class” มา 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย E 300 e Avantgarde, E 220 d AMG Sport และ E 300 e AMG Dynamic

ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของชุดแต่ง AMG Body styling ปรับดีไซน์ใหม่ให้ดูล้ำสมัยยิ่งขึ้น

กระจังหน้า diamond radiator grille ลงตัวด้วยไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED และไฟท้ายแบบ Full-LED ที่ออกแบบให้เข้ากันกับกันชนท้ายและฝากระโปรงท้ายดีไซน์ใหม่

ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 19 นิ้วจาก AMG

นอกจากนี้ ยังโปร่งสบายด้วยหลังคาแก้วแบบ Panoramic Sunroof ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า

ห้องโดยสารโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่หรูหรา ชุดตกแต่งภายในแบบ AMG Interior package

พวงมาลัยดีไซน์สปอร์ตใหม่แบบ 3 ก้านท้ายตัด พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch control เพื่อให้ทุกการควบคุมเป็นไปตามธรรมชาติภายใต้หลักสรีรศาสตร์

หน้าจอแบบ Digital Widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว 2 หน้าจอ ควบคุมเข้าด้วยกันผ่านระบบ MBUX

ฟังก์ชั่นการติดต่อสื่อสารกับศูนย์บริการได้โดยตรงทั้งการสั่งงานผ่านหน้าจอรถยนต์ หรือผ่านแอพพลิเคชั่น Mercedes me ผู้ใช้รถสามารถควบคุมรถยนต์จากระยะไกลผ่านโทรศัพท์มือถือได้ด้วย

เบาะนั่งแบบสปอร์ตเพิ่มความกระชับในทุกรูปแบบการขับขี่ พร้อมคอนโซลหุ้มด้วยหนัง ARTICO ตลอดทั้งคัน

ไฟล้อมรอบห้องโดยสารแบบ Premium Ambient light ที่สามารถเลือกปรับได้มากถึง 64 เฉดสี พร้อม Animation เปลี่ยนสีอัตโนมัติแบบเคลื่อนไหวให้เลือกได้มากถึง 10 แบบ

ระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Burmester surround sound system พร้อมลำโพง 13 ตำแหน่ง

 

ขุมพลังเครื่องยนต์ 2 ทางเลือก เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบขนาด 1,991 ซีซี ผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีแบบปลั๊กอินไฮบริด เจเนอเรชั่นที่ 3 กำลังสูงสุด 211 แรงม้า พร้อมอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 5.7 วินาที

และเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบขนาด 1,950 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐาน EURO6 ให้พละกำลัง 194 แรงม้า พร้อมอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 7.3 วินาที

ระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC

มาพร้อมระบบความปลอดภัย อาทิ ระบบแจ้งเตือนขณะเปลี่ยนช่องจราจรแบบ Blind Spot Assist

ระบบแจ้งเตือนก่อนเปิดประตูแบบ Exit Warning

ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินแบบ Active Brake Assist

ระบบช่วยเหลือก่อนเกิดอุบัติเหตุ PRE-SAFE

เซ็นเซอร์รอบคันจำนวน 12 จุด แบบ PARKTRONIC พร้อมระบบช่วยการนำรถเข้าจอดแบบ Active Parking Assist และกล้องแสดงภาพรอบคันแบบ 360 องศา ฯลฯ

E 300 e Avantgarde ราคา 3,190,000 บาท

E 220 d AMG Sport ราคา 3,540,000 บาท

E 300 e AMG Dynamic ราคา 3,770,000 บาท

 

ด้าน “Audi Q3” มีให้เลือก 3 แบบ 6 รุ่นย่อย คือ Audi RS Q3 Sportback quattro, Q3 40 TFSI และ Q3 35 TFSI

Audi RS Q3 Sportback quattro มาในรูปแบบสปอร์ตคอมแพ็กต์เอสยูวี ตกแต่งภายนอกแบบ Glossy Black RS

กระจังหน้าลายรังผึ้งขนาดใหญ่สีดำเงา กันชนรูปทรงบูมเมอแรงที่ออกแบบมาพิเศษเฉพาะรุ่น

ไฟหน้าเป็นแบบ Matrix LED ที่ให้แสงสว่างคล้ายแสงธรรมชาติในเวลากลางวัน ผสานการทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์และกล้องด้านหน้ารถที่จะตรวจจับความเคลื่อนไหวของรถคันอื่น พร้อมที่จะปรับลดการส่องสว่างของหลอดไฟ LED แต่ละดวง หลีกเลี่ยงการรบกวนสายตาผู้ขับขี่รถยนต์คันที่อยู่ด้านหน้าหรือคันที่วิ่งสวนมา

เทคโนโลยีไฟท้ายแบบ LED นวัตกรรมใหม่ของเทคโนโลยีแสงสว่างที่มีประสิทธิภาพความแม่นยำสูง ไม่เกิดเงาและแสงสะท้อน ออกแบบในลักษณะ 3 มิติ เห็นได้อย่างชัดเจน

ไฟหน้า-หลังเพิ่มระบบไฟวิ่งแบบไดนามิกทำให้ดูโดดเด่น เมื่อเวลาเปิดไฟเลี้ยวหรือไฟฉุกเฉิน

ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว ลาย 5-V-spoke polygon มีให้เลือกถึง 8 เฉดสี

ชุดแต่ง Black Edition ประกอบด้วย ตกแต่งกันชนหน้า-หลังด้วยสีดำเงา กระจกมองข้าง ขอบประตู และโลโก้หน้า-หลังสีดำ

ห้องโดยสารตกแต่งชุดลาย Carbon Twill เบาะนั่งสีดำคู่หน้า แบบ RS Sports ตกแต่งแบบ honeycomb หุ้มหนัง Fine Nappa พร้อมประทับตราสัญลักษณ์ RS บริเวณพนักพิงหลัง

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้ม Alcantara แบบสปอร์ตท้ายตัด และ Paddle shift เข็มขัดนิรภัยตกแต่งด้วยขอบสีแดง

หน้าจอ LCD ความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว ผู้ขับขี่สามารถเลือกดูข้อมูลที่เหมาะกับแต่ละสถานการณ์ รวมถึงมีหน้าจอรูปแบบ RS ที่แสดงผลในแบบสปอร์ตเช่นเดียวกันกับมาตรวัดของรถแข่ง มาพร้อมกับหน้าจอ MMI Navigation plus with MMI touch ขนาด 10.1 นิ้ว

ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen แบบ 3 มิติ ลำโพง 15 ตำแหน่ง กำลังขับ 680 วัตต์ หลังคาพาโนรามิกเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า เบาะด้านหลังสามารถพับเพื่อขยายพื้นที่การใช้งาน

 

เครื่องยนต์เบนซิน 5 สูบ แถวเรียง พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรง (direct injection) เทอร์โบชาร์จ ให้กำลัง 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร

อัตราเร่งที่เหลือร้าย 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 4.5 วินาที เกียร์ S tronic 7 จังหวะ

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ quattro เพิ่มแรงดึง แรงฉุดกระชากผ่านล้อทั้ง 4 ล้อโดยอิสระ

Optimum power delivery เสียงคำรามสุดดุดันของเครื่องยนต์ ที่เกิดจากการปรับแต่งระบบท่อไอเสียใหม่

ช่วงล่างแบบ RS sports ลดความสูงตัวถังลง 10 มิลลิเมตร ด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบ Four-link

ส่วน Audi Q3 Sportback 40 TFSI และ Q3 40 TFSI quattro มีชุดแต่งพิเศษมาให้เลือก พร้อมขุมพลังใหม่ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมระบบ Start/Stop ตัดการทำงานเครื่องยนต์อัตโนมัติ แรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 180 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro

หล่อเข้มด้วยชุดแต่งภายนอก Black Edition อาทิ กระจกมองข้าง ขอบกระจกประตู ราวหลังคา กระจังหน้า ตกแต่งกันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้างตกแต่งด้วยสีดำเงา สร้างความโดดเด่น

ห้องโดยสารถูกอัพเกรดด้วยวัสดุและการจัดวางที่ทันสมัย เบาะหนังคู่หน้าเป็นแบบ Sports พร้อมสัญลักษณ์ S line จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ Virtual cockpit ขนาด 10.25 นิ้ว

ระบบ MMI Radio plus พร้อมหน้าจอแบบสัมผัส (MMI touch) ขนาด 8.8 นิ้ว เชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ผ่านระบบ Audi smartphone interfac

สนนราคา RS Q3 Sportback 4,750,000 บาท

ส่วน Q3 35 TFSI เริ่มต้น 2,299,000-2,649,000 บาท

และ Q3 40 TFSI เริ่มต้น 2,750,000-2,990,000 บาท