เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ /กรงเกียรติยศ

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

กรงเกียรติยศ

 

“เขียนกลอนทุกวันนะ วันละบท”

คุณหทัยรัตน์ จตุรวัฒนา ใช้นามปากกาว่า “รินศรัทธา กาญจนวตี” หรือ “น้องลูกหมู” ผู้พิการทางสายตา คือตาบอดทั้งสองข้าง ตอนอยู่มัธยมเข้าอบรมยุวกวี เธอถามว่า อยากเขียนกลอนให้ดีจะต้องทำอย่างไร ตอบเธอไปว่า “เขียนทุกวัน วันละบท” สิบกว่าปีต่อมา เธอจบปริญญานิเทศศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

สำคัญคือ ยังเขียนกลอนเป็นประจำจนรวมเล่มได้รับรางวัลเซเว่นบุ๊ค ชนะเลิศด้วยผลงานกวีของเธอที่ชื่อ “ทุกขณะกระจ่างชัดสัมผัสใจ”

เธอยืนยันความเป็นกวีของเธอ ด้วยวรรคกลอนดังยกมาขึ้นต้นว่า เธอเขียนวันละบท ตั้งแต่นั้นมาจนวันนี้ อาจเป็นบทละสี่วรรค หรือบทละเป็นลักษณะ “บทเรื่อง” คือเรื่องละหลายบทก็ตาม แต่เธอเริ่มเขียนตั้งแต่ได้รับคำแนะนำมาตลอด คือ

“เขียนกลอนทุกวันนะวันละบท

เริ่มปรากฏแตกใบเห็นเป็นต้นกล้า

หยดน้ำค้างหยาดน้อยค่อยหล่นมา

จิบคุณค่าวรรณคดีกวีกานท์”

 

ข้อเขียนนี้คัดมาจากมติชนสุดสัปดาห์คอลัมน์นี้เพื่อจะเท้าความถึง “น้องลูกหมู” จากวันนั้นถึงวันนี้ คือวันเมื่อได้พบเธอ ที่ห้องบันทึกเสียงดนตรีของมูลนิธิคนตาบอด ซอยจรัญสนิทวงศ์ 11 แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กทม. บอกละเอียดไว้นี้ก็อยากให้คนไปเยี่ยมเยียนใช้บริการทั้งห้องบันทึกเสียงและวงดนตรี S2S (เอสทูเอส) ของผู้พิการตา นอกจากนี้ยังมีห้องกาแฟหรูให้บริการและมีบริการนวดแผนไทยอีกด้วย

ไม่อยากเรียกผู้พิการทางสายตาหรือคนตาบอดเลย ขอเรียกว่าคนตาทิพย์ เพราะเขาคือผู้มี “ตาใน” กระจ่างกว่า “ตานอก” ที่คนทั่วไปมีด้วยซ้ำไป

นานๆ ได้พบน้องลูกหมูแล้วคุยกันเรื่อง “บทกวี” ที่เธอมีประสบการณ์พอสมควรแล้ว ยิ่งยืนยันถึงความมี “ตาทิพย์” ที่แม้คนตาดีก็ยากจะมี หรือไม่อาจจะมีด้วยซ้ำไป

น้องลูกหมูตาดีมาตลอดจนถึงอายุ 14 ปี เรียนมัธยมต้น สายตาเธอต้องทำงานหนักมาแต่แรกคลอดด้วยแสงจากตู้อบทารก พอเริ่มเรียนประถม-มัธยม ยิ่งใช้สายตาไปกับมือถือหรือ “จอแผ่น” ทั้งวันทั้งคืน จนเช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาก็มองอะไรไม่เห็น

โลกทั้งใบดับมืด ความฝันและใฝ่ฝันดับวูบหายวับไปฉับพลัน

ตรงนี้ขอแทรกเสริมว่า เด็กเล็กนั้นมีจินตนาการ หนุ่ม-สาวมีความใฝ่ฝัน เป็นธรรมชาติสร้างสรรค์ของมนุษย์อันมีอยู่

เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่หรือผู้รู้ทั้งหลายขออย่าได้ทำลายหรือทำร้ายจินตนาการของเด็ก และทำลายความใฝ่ฝันของคนหนุ่ม-สาว

เพราะนั่นคือการทำลายพลังสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ

 

น้องลูกหมูวันนี้มีบทกวีเป็นลมหายใจ เธอมีความสุขอยู่กับบทกวีโดยแท้ เธออยากอ่านบทกวีดีๆ เธอนำความคิดมากลั่นกรองเป็นบทกวีด้วยการคิดและการแต่ง เธอมีความสุขเมื่อแต่งกวีเสร็จได้ดังใจ

สิ่งนี้มีค่ายิ่งกว่าความใฝ่ฝันก่อนที่จะมาอยู่กับ “โลกทิพย์” ด้วย “ดวงตาทิพย์” ของเธอในปัจจุบัน เธอได้มาอยู่กับความใฝ่ฝันอันเป็นจริงแล้ว

ทัศนะนี้ยากที่คนทั่วไปจะประจักษ์ เธอไม่ได้บอกเล่าทัศนะนี้ตรงๆ แต่เธอเล่าถึงประสบการณ์ เกียรติยศที่เธอได้ประสบพบพานจากรางวัลต่างๆ ที่เธอได้รับ ซึ่งล้วนเป็นรางวัลใหญ่ๆ เช่น รางวัลกวีชนะเลิศจากเซเว่นบุ๊คอวอร์ด รางวัลรองชนะเลิศจากวรรณกรรมพานแว่นฟ้า และอื่นๆ ล้วนเป็นระดับชาติทั้งสิ้น

เธอเล่าว่า ดีใจและตื่นเต้นไปกับเกียรติยศและชื่อเสียงที่ได้รับ พร้อมกับภูมิใจที่มีคนเห็นคุณค่าในงานของเธอ

แต่ในที่สุดเมื่อเธอกลับสู่ “กลอนวันละบท” คือคืนสู่ภาวะหรือขณะแห่งการคิดการแต่งกวีแต่เริ่มต้นจนจบ เธอรู้สึกได้ถึง “ความสุขแท้จริง” ว่ามีมากกว่าความสุขที่ได้จากเกียรติยศอันได้รับจากรางวัลทั้งหลายนั้น

 

เธอไม่ได้ปฏิเสธคุณค่าของเกียรติยศ แต่เธอกำลังจำแนกความสุขที่ได้รับจาก “ภวังค์กวี” คือขณะแต่งกวีจนเสร็จได้ดังใจอันก่อให้เกิดความอิ่มใจ หรือที่เรียกว่าปีตินั้น มีค่าเกินกว่าจะวัดได้ด้วยสิ่งใด จนอาจกล่าวได้ว่า มากกว่าความสุขที่ได้รับจากเกียรติยศแห่งรางวัลทั้งหลายเหล่านั้นด้วยซ้ำ

ความรู้สึกนี้เชื่อว่าศิลปินผู้สร้างสรรค์ทั้งหลายล้วนประจักษ์กันอยู่แล้ว

แต่ศิลปินกวีตาทิพย์อย่างน้องลูกหมูเธอประจักษ์ได้ไวเป็นพิเศษ เพราะเธอมีโลกพิเศษที่สัมผัสกับความรู้สึกพิเศษของการเป็นผู้สร้างสรรค์ได้ลึกซึ้งกว่าคนธรรมดาสามัญ

เกียรติยศและรางวัลทั้งหลายนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ของการยกย่องเชิดชูในความดี ความสามารถนั้นๆ อันเป็นสมมุติคุณค่าอย่างหนึ่ง เราเพียงต้องรู้เท่าทันในสมมุตินี้ให้ได้เท่านั้น หากไม่รู้เท่าทันก็จะตกเป็นเหยื่อมายาคติของสมมุติเหล่านั้นทันที

ดังทั้งหลายบรรดามีที่เห็นๆ และเป็นกันอยู่ คือ

“อหังการ์คับฟ้า-อัตตาคับกรง”

 

น้องลูกหมูเขียนกลอนสะท้อนความรู้สึกเหล่านี้ไว้สองวรรคว่า

“ร้อยบ่วงแร้วปราการในด่านดง

ไม่ร้ายเท่าหนึ่งกรงเกียรติยศ!”

นึกถึงธรรมภาษิตบทนี้ขึ้นมาทันที

สูเจ้าจงมาดูโลกนี้อันงามดุจราชรถ

ที่พวกคนเขลาหมกอยู่

แต่ท่านผู้รู้ หาได้ข้องอยู่ไม่!

 

กรงเกียรติยศ

 

เขียนไปเถิด ตามที่ เธอมีแรง

ในโลกแห่ง วัตถุ ปัจจุสมัย

เปี่ยมด้วยความ เป็นเธอ และเป็นไท

เป็นชีวิต เป็นใจ และเป็นจริง

 

ไม่ผิด ถ้าเธอจะ อหังการ

แต่เมื่อผ่าน สิ่งใด ใจต้องนิ่ง

รู้จังหวะ รุกถอย รู้ปล่อยทิ้ง

รู้เดิน วิ่ง รู้หยุด รู้จุดยืน

 

ขณะเธอ พากเพียร เขียนหนังสือ

นั่นแหละคือ เธออ่านตน อ่านคนอื่น

เมื่อโลกหมุน ผ่านผัน วันและคืน

เธอต้องตื่น เพื่อกลั่น วันและวัย

 

เธอจะต้อง เคี่ยวกรำ จิตสำนึก

ตกผลึก จริงในจริง เป็นสิ่งใหม่

ต้องยืนหยัด และยืนยัน อย่างมั่นใจ

ศรัทธาใน สิ่งนั้น อย่างมั่นคง

 

แหละฟ้าจะทดสอบ ด้วยคำสาป

เพียงเห็นภาพมายา อย่าลุ่มหลง

ร้อยบ่วงแร้ว ปราการ ในด่านดง

ไม่ร้ายเท่า หนึ่งกรง เกียรติยศ

 

ตรองตรึก นึกคิด พินิจนิ่ง

ใดจริง ใดปลอม ย่อมปรากฏ

ใดหัก ใดคง ใดตรง คด

บทเรียน ทุกบท เพื่อจดจาร

 

ถ่องแท้ แน่แน่ว ในแนวตน

ถั่งท้น ด้วยแรง กำแหงหาญ

ทุ่มเท ชีวิต จิตวิญญาณ

ขณะเธอสร้างงาน…งานสร้างเธอ!

รินศรัทธา กาญจนวตี