อาณาจักรใจ / การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์/

อาณาจักรใจ/การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ [email protected]

ทวีปที่สาบสูญ

เมืองของพวกเทวดา

 

‘น้องไปกรุงเทพฯ กับพี่มั้ย พี่จะพาไปเรียนหนังสือ’

อีพี่สร้อยสายหัวเราะออกมาเต็มเสียง และแค่นตาดูคนตรงหน้าอย่างดูหมิ่นดูแคลน

‘โอ้ย พูดเป็นนิทานไปได้ จะพามันไปอยู่กรุงเทพฯ ด้วย จะไปได้ยังไง้ ติดเงินชั้นไว้เท่าไหร่ ทำงานก้นหม้อยังไม่ทันดำ จะมาหลบลี้หนีหน้า ฝันไปเถอะ ชั้นไม่ให้มันไป!’

‘น้องเขาติดเงินคุณไว้เท่าไหร่ จะจ่ายให้’

‘จริงรื้อ! กว่าจะหาคนมาทำงานได้ หายากหาเย็น…คุณไปหาเอาข้างหน้าเถอะ อย่ามาแย่งลูกจ้างชั้น’

‘ไม่ได้จะเอาไปทำลูกจ้าง’

‘กูยิ่งไม่ให้มึงไป อีพี่! เกิดเขาเอามึงไปขาย ไปตกระกำลำบากทีหลัง พี่มึงจะมาหาความกับกู…’

‘งั้นเราจะไปแจ้งความว่าคุณกักขังเด็ก’

‘หน็อย! ใครกักขังมัน! ผัวชั้นก็เป็นตำรวจ พี่มันชั้นก็รู้จัก อีโฟน่ะหัวหมอจะตายไป! คุณจะเอามันไปเลี้ยงน่ะ คิดดีแล้วหรือเปล่า รู้จักหัวนอนปลายตีนมันมั้ย!…

‘บ้านมันอยู่ไหน พี่มันเป็นใคร ชั้นรู้จักหมด! คุณล่ะ บ้านอยู่ตรงไหนของกรุงเทพฯ ใครจะรู้จะเห็น ถ้าเอามันไปขายล่องใต้ ใครจะรับผิดชอบ!’

 

‘เอ เดี๋ยวนะ’ หล่อนตรงไปหากระเป๋า หยิบของออกทีละชิ้น ‘พี่ว่ามันตุๆ อยู่นะ’

ฉันหน้าร้อนขึ้น นั่นอาจเป็นกางเกงในที่ยังแห้งกรังของฉัน เลือดประจำเดือนหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้ซักผ้าผืนใด ซิ่นและเสื้อที่เหลืออยู่ ล้วนแต่หมักหมมคราบไคล

‘นี่อะไร’ หล่อนชูผ้าผืนหนึ่งขึ้น

มันคือแถบซิ่นที่ฉันฉีกออกมา สำหรับทำผ้าซับเลือดฉุกเฉิน หล่อนเป็นคนบอกเองว่า ให้โกยข้าวของต่างๆ ยัดกระเป๋าไว้ มีอะไรก็ใส่มา

‘เดี๋ยวค่อยส่งซักดีกว่า เอาอย่างนี้ ใส่ของพี่ไปก่อน’ หล่อนกวาดเสื้อผ้าของฉันไปอีกทาง ‘หลวมหน่อย แต่น่าจะสะอาดกว่า’

ฉันรู้สึกอย่างไรก็บอกไม่ถูก เวลาได้ยินหล่อนพูดคำว่า…สะอาดกว่า…มันช่างฟังน่าอับอาย แต่ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ในเมื่อฉันแค่คนมอมแมมคนหนึ่งจริงๆ

หล่อนตัดสินใจได้ง่ายเหลือเกิน ว่าจะเอาหรือจะทิ้งของสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในชีวิตของหล่อนคงไม่เคยพบความอัตคัดขัดสนกระมัง…หล่อนคงเป็นคนรวยสินะ จริงสิ ทุกอย่างที่หล่อนทำอยู่นี้ คงมีแต่คนรวยเท่านั้นจะทำได้

บางที ถ้าไปถึงกรุงเทพฯ ฉันอาจได้งานเป็นคนรับใช้ หล่อนอาจคิดเอาไว้แบบนั้น

มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ เพราะนึกไม่ออกเลยว่าหล่อนจะได้ประโยชน์ใดในการพาฉันไปด้วย

 

…เมื่ออ้อมกอดแห่งความปรานีเปิดให้ฉันเข้าไปซุกตัวอยู่

ตอนนี้…ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้วใช่ไหม ฉันจะหลับได้จริงๆ ใช่ไหม พรุ่งนี้ จะได้ไปกรุงเทพฯ กับหล่อนแล้ว

ช่างน่าแปลกที่ความคิดในหัวของฉันเริ่มสับสน ร้อยพันความคิดหลากไหลเข้ามา…ไม่นานนักฉันก็กลับมาเป็นปกติ

ยินเสียงหล่อนหายใจสม่ำเสมอแผ่วเบา

 

[…ถ้าฉันมีกระดาษและปากกา

ฉันจะเขียนถึงเวลาค่ำคืนนี้เอาไว้

แผ่วเบาของเสียงหายใจ

กับอกที่เต้นไหวของตัวฉัน

 

ถ้าฉันมีสมุดสักเล่มหนึ่ง

จะจดบันทึกถึงคืนวัน

วูบวาบกำซาบสั่น

เพียงฝันว่า…

ในฝัน…]

 

เปิดประตูเข้าไปในห้อง คงอีกนานกว่าจะถึงเวลามืดค่ำ ชายม่านยังต้องลมอยู่ไหวๆ วางกุญแจลงบนโต๊ะ แล้วเดินไปหาหน้าต่างบานหนึ่ง ยกมือเกาะขอบ เพ่งมองไกลออกไป

ฉันจะเป็นอย่างไรกันนะในอนาคตข้างหน้า จะได้พ้นออกไปจากเมืองเชียงใหม่นี้จริงๆ หรือเมืองหลวงกรุงเทพฯ มันเป็นอย่างไร ฉันจะได้อยู่กับหล่อนคนนี้ไปนานแค่ไหน

และถ้าหล่อนออกลายมาเล่า …ถ้าหล่อนมีธาตุแท้เลวทรามต่ำช้าไม่ต่างจากหลายคนที่ผ่านมา ตัวฉันจะมีทางหนีทีไล่ยังไง

– ตัวมึงเล่า มึงดีกว่าเขาหรือยังไง! ที่มึงทำอยู่นี้เป็นความดีความงามตรงไหน มึงนั่นแหละ เลวชาติหมายิ่งกว่าใครๆ!

ใบหน้าของพี่โฟลอยเด่นเข้ามา

– มึงไม่ต้องตอแหล อีพี่! ยังกะว่าตัวดีเหนือคนอื่นๆ ทุ้ย! อีวอกอีค่าง หมู่หนอนไต่ยุบยับพื้นกะล่าง ยังมีค่ากว่ามึงเสียอีก!

…ทุกสิ่งกำลังดำเนินไปด้วยดีแบบนี้ ฉันต้องพยายามรักษาถนนสายนี้ไว้

ถ้าฉันจะได้ไปเรียนหนังสือ…บางทีฉันอาจจะมีชื่อกับนามสกุลใหม่ ฉันจะได้ไปเป็นคนเมืองฟ้าอมร ได้อยู่ถึงกรุงเทพฯ เมืองใต้

 

‘โอย! กูนี่หนอ กูนี่หนอ!’

ยายร่อยแล่นมาหาพ่อ-แม่เมื่อตอนมืดค่ำ แม่กำลังจะให้ข้าวหมู ส่วนพ่ออยู่บนเรือน กำลังเขียนเทียนบูชาให้ผู้มาขอไว้

‘มีอะไรหรือน้า’ แม่หิ้วน้ำคุออกมาจากสวนหลังบ้าน

‘อีดาเหย…! กูไปได้ข่าวว่า แท้อ้ายรอยมันไปติดคุกติดคอก!’

‘อ้าว!’ แม่เบิกตา ‘ก็ไหนว่ามันไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ’

‘ทำเงินทำงานอะไร อก-หนอ-อก! มันไปติดคอกอยู่!

 

‘เธอคงอยู่ดีมีสุขสินะ’ ชื่นใจพูด ‘ไม่ได้ลำบากเหมือนฉัน’

‘ทำไมคิดยังงั้นล่ะ’

‘ก็เธอได้ไปอยู่กรุงเทพฯ ไปทำงานบริษัท’

‘รู้ได้ยังไง’

‘ใครๆ เขาก็พูดกัน เธอไปได้ดี มีคนอุปถัมภ์’

‘ยังงั้นหรือ คนเขาว่ายังไงอีก แล้ว…เธอก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ได้ยินยังไง’

‘โอ้ย คนบ้านเราไปไหนก็เจอกัน ฉันอยู่ในเวียงเจอคนนั้นคนนี้ตลอด มีแต่เธอนี่แหละไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตา…

‘คงเริ่มจากมีคนมาถามพ่อ-แม่เธอ ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน ฉันก็เคยถาม เขาก็บอกว่าเธอไปอยู่กรุงเทพฯ แล้ว มีคนพาไป แล้วเธอส่งเงินมาให้พ่อ-แม่ใช่ไหมล่ะ คนเขาก็พูดกันว่าเธอเป็นคนกตัญญูรู้คุณพ่อ-แม่ รู้มั้ย มีแต่คนชื่นชมเธอ…’

 

[กรุงเทพฯ คือเมืองแห่งความฝัน เมืองในจินตนาการ และมันคือเมืองแห่งเทพเทวดา สำหรับอีกหลายชีวิตจิตใจ

ฉันยังจำได้ทุกสิ่งอัน ความฝัน คำพูด สิ่งที่พวกเราเคยผ่านมันมา

กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ

เมืองเทวดา เมืองเทวดา เมืองเทวดา เมืองเทวดา เมืองเทวดา เมืองเทวดา

ชีวิตจะดีขึ้นที่กรุงเทพฯ

ชีวิตจะดีขึ้นที่กรุงเทพฯ

ชีวิตจะดีขึ้นที่กรุงเทพฯ

ชีวิตจะดีขึ้นที่กรุงเทพฯ

ความยากจนที่บ้านนอก

บ้านนอก

บ้านนอก

บ้านนอก

ความยากจน

ความยากจน

ความยากจน

ความยากจนที่บ้านนอก]

 

“นี่เขียนอะไรของคุณ”

ผู้ชายหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ถามขึ้น พลางขยับแว่นตากรอบเล็กๆ บางใส ผมสีซังข้าวโพดเช้านี้ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย

ฉันจ้องดูกำไลเงินบนข้อมือข้างหน้า ก่อนจะหลุดจากภวังค์ออกมาเมื่อยินเสียงถามซ้ำ

“…เป็นเรื่องสั้นได้ไหมคะ”

“ไม่ได้” บรรณาธิการพูดกับฉัน “ผมว่าไม่น่าจะลงได้”

“อันที่จริง อยากจะเขียนเป็นนิยาย”

“นิยายก็ต้องมีโครงเรื่อง” บรรณาธิการถอนใจ “คุณจะแต่งเรื่องยังไงก็ได้ แต่ต้องเล่าเรื่องให้เป็น”

ฉันนิ่งเงียบ

“เขียนเรื่องสวยๆ สิ ภาษาคุณดี เขียนเรื่องชีวิตดีๆ ที่ชนบทดูมั้ย ผมอ่านที่คุณส่งมา มีแต่เรื่องน่าหดหู่”

ฉันเงียบ

“เอามาจากบันทึกน่ะค่ะ”

บรรณาธิการส่ายหน้าอีก

“อย่าน่า ผมแก่แล้ว” ราวว่ามีความเห็นใจและเวทนา “คุณจินตนาการได้ แต่งเรื่องได้ แต่อย่าบอกว่าเอามาจากเรื่องจริง มันฟังไม่ขึ้นหรอก เหมือนย้อนกลับไปตั้งแต่ผมยังแก้ผ้ากระโดดน้ำเล่นนู่น ชีวิตอะไรจะลำบากกันขนาดนั้น”

แล้วก็หัวเราะอีกเบาๆ

“ไปเขียนมาใหม่ดีกว่า แล้วขอทีเถอะ เลิกเขียนได้แล้วพวกวรรณกรรมเพื่อชีวิตน่ะ คนเขาไม่อยากรู้หรอกชีวิตคนจนเป็นยังไง คุณไปเขียนมาใหม่ บรรยายฉากมาสวยๆ ทุ่งหญ้า แสงแดดอ่อนๆ ดอกไม้บานบนภูเขา อะไรอย่างนั้น…ถ้าคุณอยากเป็นนักเขียนรายได้ดี อยากมีชื่อเสียงต่อไปในอนาคต คุณไปเขียนมาใหม่”

เป็นวันที่มีแสงแดดส่องใส แต่แดดสายเดียวกันก็หม่นมัวลงสิ้นดี แต่ก็เป็นครั้งที่ฉันตระหนักอยู่อย่างลึกซึ้งในใจว่า…จริงด้วยนะ กรุงเทพฯ เป็นเมืองของพวกเทวดา