วางบิล/ เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / ตรุษจีนแล้ว เซ็งลี้ฮ้อ คังเกี่ย ตั้วถั่ง นะครับเฮียตู่

วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

ตรุษจีนแล้ว

เซ็งลี้ฮ้อ คังเกี่ย ตั้วถั่ง นะครับเฮียตู่

 

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 สงบจากการปฏิวัติของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เมื่อ 20 ตุลาคมปีเดียวกัน และเมื่อมีการเลือกตั้งปี 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมจัดตั้งรัฐบาลสหพรรค แล้วขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มี พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตัดสินใจปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน

ด้วยการจัดตั้งคณะทำงานจากการนำของนายอานันท์ ปันยารชุน เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน และผู้แทนถาวรประจำองค์การสหประชาชาติ ประกอบด้วยนายเตช บุนนาค นายชวาลย์ ชวณิชย์ จากกรมการเมือง นายสุจินดา ยงสุนทร จากกรมสนธิสัญญา เพื่อเตรียมการเจรจาเปิดความสัมพันธ์

ฝ่ายจีนประกอบด้วย นายเคอะหวา อธิบดีกรมเอเชีย นายเฉิงรุ่ยเชิง รองอธิบดี และเจ้าหน้าที่แผนกไทย โดยนายอานันท์ได้เดินทางไปเจรจากับฝ่ายจีนเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2518 เพื่อตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับการสถาปนาทางการทูต มีประเด็นสำคัญจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายไทย มี 3 ข้อ คือ 1.การถือสัญชาติของชาวจีนในไทย 2.การสนับสนุนของจีนต่อพรรคคอมมิวนิสต์ไทย 3.การค้าระหว่างไทยกับจีน

ส่วนประเด็นสำคัญของฝ่ายจีนมี 2 ข้อ คือ 1.ฐานะความเป็นจีนที่ถูกต้องเพียงรัฐเดียว 2.การมีฐานทัพของสหรัฐตั้งอยู่ในประเทศไทย

 

การเจรจามีขึ้นในวันที่ 18-20 มิถุนายน ด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตร สามารถตกลงในประเด็นต่างๆ กันได้ ฝ่ายจีนแจ้งให้คณะผู้แทนไทยทราบว่า นายกรัฐมนตรีจีน นายโจวเอินไหล ขอเชิญนายกรัฐมนตรีไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการ

นายอานันท์กล่าวถึงการเจรจาครั้งนี้ว่า หลักใหญ่คือทั้งสองฝ่ายยอมรับหลักการ 5 ประการของการอยู่ร่วมกัน เป็นหลัก 5 ประการตั้งแต่สมัยสัญญาบันดุง ขณะที่กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งทางจีนมีเรื่องเดียวคือไทยต้องยอมรับว่ามีจีนประเทศเดียว (หมายถึงอีกประเทศคือไต้หวัน) ทั้งไม่ยอมรับความเป็นสองสัญชาติ ซึ่งเป็นความสำคัญในเรื่องจิตใจต่อคนไทยมาก

วันที่ 30 มิถุนายนปีเดียวกันนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพร้อมคณะไปปักกิ่ง และเจรจากับเติ้งเสี่ยวผิง วันที่ 1 กรกฎาคม 2518 และเติ้งเสี่ยวผิงแจ้งว่า ประธานเหมาเจ๋อตุงพร้อมให้เข้าพบ

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์และ พล.ต.ชาติชายจึงเดินทางไปจงหนานไห่ และเข้าพบประธานเหมาเจ๋อตุงในห้องสมุด ซึ่งทั้งสองได้พูดคุยอย่างฉันมิตร

เหมาเจ๋อตุงเริ่มทักทายว่า “ท่านนายกฯ มาหาคอมมิวนิสต์อย่างข้าพเจ้า ไม่รู้สึกกลัวหรือ”

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์กล่าวตอบว่า “หามิได้ ข้าพเจ้าเลื่อมใสท่านประธานมานานแล้ว ข้าพเจ้ามิใช่คอมมิวนิสต์ แต่ข้าพเจ้ามาหาเพื่อน” (ทั้งสองประโยคอาจแตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าผู้ใดคือผู้เขียน หรือบอกเล่า)

ทั้งสองสนทนากันเกือบ 1 ชั่วโมง ประธานเหมาเจ๋อตุงกล่าวในตอนท้ายว่า “ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จะลุกจะนั่งก็ปวด อีกไม่นานก็ตาย” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ตอบว่า “อย่าพูดเช่นนั้นเลย โลกมนุษย์มิอาจขาดผู้ร้ายหมายเลขหนึ่งอย่างท่านได้”

ท่านประธานเหมาหัวเราะชอบใจ

 

จากนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ลงนามใน “แถลงการณ์ร่วมสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ” กับโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ซึ่งประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 101 รับรองรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน และเป็นประเทศที่ 3 ในกลุ่มอาเซียน

แถลงการณ์ร่วมว่า ด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูและการประนีประนอมระหว่างกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีความแตกต่างด้านอุดมการณ์ ระบอบการปกครอง และเศรษฐกิจก็ตาม

แถลงการณ์ร่วมระบุว่าประเทศทั้งสองยอมรับในหลัก 5 ประการของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และจะต่อต้านการสถาปนาความเป็นใหญ่ของประเทศหรือกลุ่มประเทศใด ไทยได้รับรองว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นรัฐบาลอันชอบด้วยกฎหมายของประเทศจีนเพียงรัฐบาลเดียว และไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนจีนที่แบ่งแยกมิได้ ส่วนจีนประกาศไม่ยอมรับการถือสองสัญชาติของคนจีนในประเทศไทย

หลังลงนามในแถลงการณ์ร่วม นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลกล่าวกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ว่า ในหลายสิบศตวรรษที่ผ่านมา ประเทศเราทั้งสองมีการไปมาหาสู่กัน อยู่ใกล้ชิดกัน จะติดต่อทางทะเลก็สะดวกมาก

“ดังนั้น พูดไปแล้วไม่ต่างอะไรกับเป็นญาติกัน”

 

หลิวหย่งชิง ล่ามภาษาไทยขณะนั้นได้ย้อนพินิจถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นว่า คณะของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นคณะสุดท้ายที่นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลลงนามในเอกสาร และเป็นการต้อนรับแขกต่างประเทศครั้งสุดท้ายเช่นกัน หลังจากนั้นโจวเอินไหลป่วยหนักและถึงแก่อนิจกรรม

พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา ร่วมเดินทางไปครั้งนั้นด้วย เล่าถึงบรรยากาศการเจรจาระหว่างเติ้งเสี่ยวผิงกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ว่า “เติ้งเสี่ยวผิงยืนยันว่าจีนไม่คิดรุกรานหรือคุกคามไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ตอบว่า ให้จีนเขียนคำดังกล่าวในล็อกเกต จะเอาไปให้เด็กไทยห้อยคอ เติ้งเสี่ยวผิงหัวเราะชอบใจ”

นับแต่สถาปนาทางการทูตครั้งนั้น 1 กรกฎาคม 2518 เป็นเหตุการณ์สำคัญระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนที่สำคัญยิ่ง เป็นเหตุการณ์หนึ่งในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทย เป็นจุดเปลี่ยนให้ไทยกับจีนกลับมาเป็นมิตรกัน และยุติความเป็นศัตรูและความเข้าใจผิดต่อกันที่มีมาในชั่วระยะหนึ่งตั้งแต่ พ.ศ.2492 เมื่อจีนเปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์

ทั้งจีนมองการสถาปนาครั้งนี้ว่าเป็นความสำเร็จทางการทูตหลังจากพยายามมานานตั้งแต่การประชุมที่บันดุง อินโดนีเซีย

 

นับแต่นั้นถึงวันนี้ วันที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งมีนโยบาย “แจก” เงินให้ผู้มีรายได้น้อยไปใช้จ่าย ถึงนโยบาย “คนละครึ่ง” และตัดสินใจเพิ่มวันหยุดตรุษจีน

การจัดให้วันตรุษจีนเป็นวันหยุดของปี นับเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นคนชาติไทยและคนชาติจีนมาแต่นมนานกาเล ไม่ใช่เรื่องของราชอาณาจักรหรือสาธารณรัฐ แต่เป็นเรื่องของ “ความเป็นพี่น้องกัน”

ทั้งยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ำการใช้แซ่เป็นหนึ่งในนามสกุล โดยไม่ต้องเปลี่ยนให้ยาวรุงรังอีกต่อไป

ใช่ไหมครับเฮียตู่ คังเกี่ย คังเกี่ย ตั้วถั่ง