ว่าด้วยนรก สวรรค์ กระบวนการ “อายตนะ” สะพานเชื่อม สำคัญ : ดังได้สดับมา

คําถามว่าด้วย “เดียรถีย์” ความเข้าใจว่า พุทธทาสภิกขุมีความโน้มเอียงไปในทาง “เดียรถีย์” มีความสัมพันธ์กับการอธิบายว่าด้วย นรก สวรรค์

ประหนึ่งว่า พุทธทาสภิกขุจะเป็น “เดียรถีย์” เสียเอง

จึงจำเป็นที่ท่านจะต้องอธิบายความหมายของ “เดียรถีย์” ทั้งในทางรูปศัพท์ดั้งเดิม และทั้งในทางเป็นจริง

ชัด

เมื่อชัดในความหมายของ “เดียรถีย์” แล้วก็เข้าสู่ประเด็นที่ว่า นรกเป็นความทุกข์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์เป็นความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

หาก “ฟัง” จากที่ท่านพุทธทาสภิกขุตอบแล้วก็จะต้องร้อง “อ๋อ”

จำเป็นต้องอ่าน

การอธิบายว่า นรกมีอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่พระพุทธเจ้าท่านว่า ไม่ใช่อาตมาว่า

นรกอยู่ที่อายตนะเรียกว่า “อายตนิกะนรก-นรกที่เป็นไปทางอายตนะ” คือเป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือเมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันทำผิดเกิดเป็นทุกข์เป็นร้อนขึ้นมา นรกนี้เรียกว่า “นรกทางอายตนะ”

ทีนี้สวรรค์ก็เหมือนกัน

เมื่อทำถูกต้องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นความเอร็ดอร่อยทางกามารมณ์ นี้ก็เรียกว่า “อายตนิกะสัคคะ” คือ “สวรรค์ทางอายตนะ”

นี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ มีหลักฐานอยู่ในสังยุตตนิกาย ไปเปิดดูก็ได้

ทีนี้คนนี้มันโง่ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ได้ฟังก็หาว่าอาตมาว่าเอาเอง

ทีนี้เราอย่าไปว่าใครว่า อย่าว่าพระพุทธเจ้าว่า อย่าหาว่าอาตมาว่าเลย ตนเองนั่นแหละ จงดูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่มันร้อนขึ้นมาก็ได้เมื่อทำผิด มันเป็นนรกอยู่ที่นี่ จริงกว่า เป็นสันทิฏฐิโกที่สุดเลย

สวรรค์ก็เหมือนกัน สบายใจ พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อใดก็เป็นสวรรค์อยู่ที่นั่นแหละ ที่ใจ

ที่มาจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสให้ชัดเข้ามาว่า นรก-สวรรค์ มันเป็นไปที่ “อายตนะ”

นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้านั้นพวกอื่นเขาพูด เขาพูดก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่มีความประสงค์จะไปทะเลาะกับเขา ไปโต้แย้งกับเขา

เออ ว่าอย่างนั้นก็ว่าไป แต่ว่าฉันเห็นอย่างนี้จึงได้ตรัสว่า

“นรกที่เป็นไปทางอายตนะนี้ฉันเห็นแล้ว สวรรค์ที่เป็นไปทางอายตนะนี้ฉันเห็นแล้ว” แล้วก็เรียกชื่อชัดว่า “อายตนิกะนรก” คือนรกที่เป็นไปทางอายตนะ

ทั้งนรกทั้งสวรรค์มีได้ที่อายตนะ เป็นไปตามอายตนะ แล้วแต่ว่าอายตนะนั้นมันได้ปรุงแต่งกันอย่างไร

ถ้าร้อนก็เป็นนรก ถ้าสบายพออกพอใจก็เป็นสวรรค์

คำพูดอย่างนี้ไม่มีใครเคยพูดมาก่อนพระพุทธเจ้า พูดแต่นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้ากันทั้งนั้น แล้วมีอรรถกถาจารย์บางรูปที่จะเขลาอะไรขึ้นมาเขาอธิบายออกไปว่า แม้พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสอย่างนี้ มันก็ยังหมายถึงนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้าอยู่นั่นเอง

พระอาจารย์รูปนี้พูดว่า นรกจะมาอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้อย่างไร

นี่มันคนโง่ ไม่รู้ภาษาธรรมเสียเลย เป็นคัมภีร์ชั้นอรรถกถาที่พิมพ์ให้คนเรียนอยู่เดี๋ยวนี้ ไปเปิดดูเถอะ

อาตมาไม่เอาด้วย มันไม่เป็นสันทิฏฐิโก มันไม่เห็นด้วยตาตนเอง แล้วก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนา

มันต้องเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ จึงจะเป็นพุทธศาสนา ฉะนั้น บูชาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอย่างยิ่งที่ท่านตรัสว่า

“นรกเป็นไปทางอายตนะ สวรรค์เป็นไปทางอายตนะ”

ขอให้พวกเราทุกคนควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ดี อย่าให้เกิดเป็นนรกขึ้นมา ถ้าต้องการสวรรค์ก็ให้มันเป็นสวรรค์อยู่เรื่อย

แต่ถ้าไม่ต้องการนรกหรือสวรรค์แล้วก็อยู่เหนืออำนาจของอายตนะเสียเลยดีกว่า

ยกเลิกอิทธิพลของอายตนะเสียให้หมด ไม่เอานรก ไม่เอาสวรรค์ ก็คือเอา “พระนิพพาน” เมื่อไม่มีความหมายของนรก สวรรค์แล้วมันก็เป็น “นิพพาน”

คือสูงกว่านั้น เหนือนั้นขึ้นไป

“นรกสวรรค์มันอยู่ในโลก พระนิพพานนั้นอยู่เหนือโลก” เหนืออำนาจของอายตนะ

ข้อนี้ก็ตอบว่า อธิบายอย่างนี้เป็นพุทธศาสนาที่สุด เป็นของพุทธเดียรถีย์ที่สอนว่า นรกและสวรรค์เป็นไปตามอายตนะ

อ่านแล้วย่อมเข้าใจ “วิถี” แห่ง “พุทธทาส” แจ่มชัด ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม วกวน

ที่น่าศึกษาเป็นอย่างมากก็คือ “กระบวนการ” หรือ “วิธีวิทยา” ของการอธิบาย ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการ

ท่าทีต่อ “เดียรถีย์” นับว่าแจ่มชัดโดย “อรรถ”

ขณะเดียวกัน ท่าทีต่อ “อรรถกถาจารย์” ที่อธิบายนรก สวรรค์ อย่างเป็นไปตามความเชื่อของศาสนา “อื่น” ก็ตรงไปตรงมา

ต้องยอมรับว่า พุทธทาสภิกขุสรุปการค้นพบของพระพุทธเจ้าอย่างเฉียบคม

เป็นการเฉียบคมที่แสดงให้เห็นว่า คำว่า “ชาติก่อน” กับ “ปัจจุบันชาติ” และ “ชาติอนาคต” ดำเนินไปอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

นั่นก็คือ เป็นเรื่องในทาง “ความคิด”

โดยอาศัยกระบวนการอย่างที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” มาเป็นอุปกรณ์อย่างทรงความหมาย

มิได้เป็นเรื่องของการข้ามภพ ข้ามชาติ หากแต่เป็นเรื่องใน “ชาตินี้”

ดังนั้น เมื่อมาถึงคำอธิบายว่าด้วยนรก สวรรค์ โดยผ่าน “อายตนะ” ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยิ่งทำให้มากด้วยสีสัน

ทำให้คำว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม