ชู้รักนักการเมือง-สุดคลาสสิคเรื่องอื้อฉาว

ดูเหมือนเรื่องเล่าฤดูร้อนฉบับหน้าฝนของดิฉัน จะไพล่หัวเรื่องถึงการเมืองอีกแล้วล่ะ

ก็คลิปเสียงสนทนาที่เขย่าโสตประชาชนกัมพูชาของ นายกึม สกขา รองหัวหน้าพรรคสงเคราะห์ชาติกับสตรีอื่นซึ่งไม่ใช่ภริยาตน

ก็นั่นแหละ เรื่องอื้อฉาวคาวๆ ที่ลุกลามใหญ่โตไปถึงกลุ่มฝ่ายต่างๆ ของกัมพูชาจนกลายเป็นกระแสระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่

บทเรียน “นอกใจ” ของ กึม สกขา ครั้งนี้ ดูจะกลายเป็นชะตากรรมสยองขวัญตลอด 3 เดือนของตนและพรรคสงเคราะห์ชาติอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทั้งยังลากเอากลุ่มต่อต้าน-สนับสนุนที่ขยายตัวออกไปทั้งฝ่ายกฎหมาย เอ็นจีโอ นักวิชาการอิสระตลอดจนพลเมืองชาวเน็ตและชาวบ้านที่ออกมาปกป้อง กึม สกขา จากการไล่ล่าของทางการ

มิพักว่า กึม สกขา จะพ่วงตำแหน่งรองประธานรัฐสภาและควรมีเอกสิทธิ์คุ้มครองในฐานะนักการเมือง

ดูเหมือนว่า จุดเปราะบางของเขาในสัมพันธ์ลับกับหญิงอื่น จะติดตามมาหลอกหลอนอีกครั้ง หลังจากเคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน

ข้อกล่าวหานอกใจภริยาครั้งนั้น และที่เคยเกิดขึ้นกับนักการเมืองท่านอื่น หาได้เป็นบทเรียนสอนใจต่อ กึม สกขา ที่สร้างความฉาวโฉ่ให้ตัวเองอย่างซ้ำรอยเดิม

ไม่ใช่แต่ตนที่แบกหน้าตนเองอับอายเท่านั้น กึม สกขา ยังมีลูกสาวคนเก่งและเป็นถึงกรรมาธิการด้านสิทธิสตรีในรัฐสภา-นางสาวกึม มโนวิทยา ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับบทบาทของบิดาและกฎหมายว่าด้วยความผิดของการ “คบชู้” ที่มีผลเอาผิดต่อหญิงผู้เป็นชู้

และสำหรับชายที่มีฐานะเป็นถึงนักการเมืองนั้น ถึงกับเคยประสบล่มจมหายนะและต้องลี้ภัยไปนอกประเทศมาแล้ว!

นั่นเอง ที่ทำให้ กึม สกขา ต้องหนีการไล่ล่าของโปลิศ ไม่ต่างจาก ส.ส.สงเคราะห์ชาติ 2 นายที่ถูกจับในข้อหาเผยแพร่เอกสารเท็จที่เป็นภัยความมั่นคงของประเทศมาแล้ว

เพียงแต่กรณีของสกขานั้น ได้มีประชาชนที่ออกมารวมตัวเป็นโล่มนุษย์กำบังเงาให้เขา นัยว่า เพื่อปกป้องเอกสิทธิ์คุ้มครองนักการเมืองที่กำลังถูกละเมิด (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า)

ยิ่งกว่านั้น ประชาชนอีก 20,000 รายชื่อร่วมกันลงนามถวายสมเด็จพระบรมนาถสีหมุนี เพื่อทูลขอพระราชทานพระองค์ให้ช่วยเป็น “คนกลาง” ไกล่เกลี่ยปัญหาการเมืองและการมุ้งที่สุดแสนจะหนักหน่วงและเหลือทน

แต่ กึม สกขา เรียนรู้อะไรบ้างจากครั้งนี้?

มีกรณีศึกษาจากนักการเมืองกัมพูชาบางคนที่น่าสนใจ

2) รักในปฏิวัติชน

แปน โสวัน เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (2522-2525) คนแรกที่เขารู้จัก และสนิทสนมกับ กึม สกขา ในฐานะ ส.ส. ร่วมพรรคตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นพรรคสิทธิมนุษยชน เคยออกทัวร์หาเสียงพบปะประชาชนร่วมกันสมัยที่ยังเป็นพรรคเล็กและย้ายมาสังกัดพรรคสงเคราะห์ชาติร่วมกัน

แปน โสวัน ขณะนี้ต้องนอนเจ็บอยู่บนเตียงในช่วงปลายชีวิต เขาไม่มีโอกาสจะรับรู้เรื่องราวอื้อฉาวของสกขา แต่สมัยที่ยังหนุ่มและอุทิศตนเป็นนักปฏิวัตินั้น แปน โสวัน ถึงกับตั้งปณิธานว่าจะไม่แต่งงาน ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาเห็นว่าอาจเป็นอุปสรรคชีวิตงานทางการเมือง

แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีใครยอมให้เขาใช้ชีวิตในแบบนั้น ดังคำบอกเล่าของหลานสาว (ผ่านสื่อโชเชียล) นั้น แปน โสวัน มักรบเร้าจากสหายรุ่นพี่ที่เขาอาศัยด้วย ขอร้องให้เขายอมรับในความปรารถนาดีที่อยากจะเห็นเขามีคู่ครองมาช่วยปรนนิบัติดูแล

แม้ไม่อยากจะเสียสมาธิไปกับเรื่องนี้ แต่เพื่อไม่เป็นการตัดน้ำใจสหายเวียดรุ่นพี่ ด้วยเหตุนี้ แปน โสวัน หนุ่มจึงยอมลดทิฐิลงโดยมีเงื่อนไขว่า เขาจะไม่เที่ยวหาหญิงใดมาเป็นคู่ เว้นเสียแต่สาวเจ้าจะปรับตัวไปตามชีวิตในแบบของเขา

และนั่นเองที่ทำให้อันบาเวียดรุ่นพี่ได้จัดหาสาวชาวบ้านสามัญมาคนหนึ่ง ครั้นอันบาถามเขาว่า “น้องชอบเธอหรือไม่?” โสวันก็ตอบไปว่า “ไม่คิดอะไร”

แต่เมื่อเธอผ่านเงื่อนไขของเขาได้ จะแต่งหรือไม่แต่ง อุดมคติและชีวิตงานการเมืองเขาก็คงไม่มีอะไรจะเปลี่ยนไป

เพราะเธอผู้นั้นยินดีที่จะมีชีวิตที่ปราศจากการเรียกร้องใดๆ ยอมรับความลำบาก ไม่ปริปากอุทธรณ์ต่ออนาคตและความสูญเสียที่รออยู่เบื้องหน้า และหากว่าเธอยอมรับได้ทั้งหมดนี้ เธอก็คงจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาได้

ด้วยเหตุนี้เองที่ภริยาชาวเวียดนาม-คู่ชีวิต แปน โสวัน จึงไม่เคยปรากฏตัวตนต่อสาธารณชนกัมพูชาทั้งในสมัยภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย

ไม่ว่าในยามที่เขาทุกข์หรือในยามที่เขาสุข เธอก็ไม่เคยมีตัวตนอยู่ทั้งในประเทศบ้านเกิดของเขา (กัมพูชา) และในประเทศของเธอ ที่ซึ่งเขาถูกกักบริเวณในฐานะนักโทษ

เพราะไม่ว่าสถานะของ แปน โสวัน ผู้สามีจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ทั้งเธอ (และเขา) ต้องอาศัยซึ่งการเสียสละอยู่เสมอ

มันเป็นชะตากรรมแบบนั้น ชีวิตรักของ แปน โสวัน ผู้ซึ่งถูกร่ำลือว่ามีภริยาเป็นสายลับหญิงเวียดนาม (?) และเป็นญาติใกล้ชิดกับระดับผู้นำ (?) ทำให้ แปน โสวัน มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นคนแรกในระบอบประเจียนิจ ทันทีที่ทัพเวียดนามยึดกรุงพนมเปญในปี 2522

แต่พอ แปน โสวัน ถูกรัฐประหารและนำตัวไปกักขังบริเวณในบ้านพักที่เวียดนามนับ 10 ปี แต่ทันทีที่เขาถูกปล่อยตัว ข้อกล่าวหาใส่ความที่ตื้นเขินอย่างนั้น ก็เพราะภริยาเวียดนามนั่นเองที่ทำให้เขาได้รับอิสรภาพ

ช่างเป็นตรวน (ความคิด) เส้นเดิมที่พันธนาการ แปน โสวัน และภริยาที่ (แทบ) ไม่เคยมีตัวตนในโลกทางการของสามีตั้งแต่วันแรกและวันสุดท้ายของการมีชีวิตร่วมกัน

แปน โสวัน ดูจะไม่เคยออกมาปกป้องเกียรติยศของเธอเลย

มันคือชีวิตแบบนั้นเอง แปน โสวัน ในประสบการณ์ความรักที่มีต่อภริยาและบุตรสาวที่ผู้จากพรากซึ่งกันอยู่เสมอ

กระนั้น แปน โสวัน (และภริยา) ก็ยังผูกมัดตนเองไว้กับความซื่อสัตย์ในรักของตน

ชู้รักกับพรรคล่ม

อีกคนหนึ่งที่สะสมประสบการณ์ล้ำหน้าในเรื่องอื้อฉาวทางการเมือง อย่างสุดจะคลาสสิคในรอบทศวรรษ (2545-2551)

คือ สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ หัวหน้าพรรคฟุนซินเปกอดีตและปัจจุบัน (แบบไปๆ มาๆ) และอดีตนายกรัฐมนตรี (2536-2540)

โดยเฉพาะเรื่องตกหลุมรักแบบฉับพลันที่ส่งผลทางทางการเมืองและทุกฝ่ายในฟุนซินเปก

ดับสูญอนาคตทางการเมือง และสิ้นทั้งฐานะทางสังคม

ประสบการณ์อื้อฉาวของรณฤทธิ์นี้ ดูหมือนจะเป็นกรรมเก่าที่เขาเคยวิพากษ์พระบิดาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนโรดม สีหนุ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าคลั่งไคล้ในการกำกับฯ และสร้างภาพยนตร์

สมเด็จกรมพระเองก็เช่นกัน เมื่อลงทุนสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกเกี่ยวกับนางรำวังหลวงนั้น เขากลับตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้นกับ อุก พัลลา-ศิลปินและนางระบำอัปสร ซึ่งเคยสมรสกับ เวง สิริวุด อดีตรัฐมนตรีและขุนพลสำคัญพรรคฟุนซินเปกยุคแรกและเลิกร้างกันอย่างเจ็บปวดเมื่อฝ่ายหญิงต้องสูญเสียสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตรให้แก่ฝ่ายชายซึ่งภายหลังไปตั้งรกรากในต่างประเทศ

แต่รักครั้งใหม่ของพัลลากับเจ้าวัยแก่คราวพ่อก็เกิดขึ้นในท่ามกลางหายนะของทุกฝ่าย โดยเฉพาะสมเด็จในกรมรณฤทธิ์ที่แทบจะหมดอนาคตการเมืองตลอดกาล เมื่อทั้งอดีต “ข้าเก่าและเมียรัก” ต่างโกรธแค้นและแปรพักตร์ไปกับศัตรูอย่างเช่นที่เจ้าหญิงนโรดม มารีรณฤทธิ์ ตัดสินใจอาศัยกฎหมายพิเศษที่เพิ่งตราจากรัฐสภาฟ้องหย่า เอาผิดสวามีเจ้าที่รินอกใจ “คบชู้” ส่งผลให้ท่านกรมพระกับหม่อม/เนี้ยะมะเนียงนางรำ และลูกน้อยต้องหลบภัยหนีไปต่างแดน

มรสุมวิบัติครั้งนี้นำพาให้พรรคฟุนซินเปกต้องประสบกับหายนะอย่างถาวร แม้แต่เลขาธิการพรรค-ข้าเก่า พลเอกยึก บุนชัย ก็ถือโอกาสนี้รวมฟุนซินเปกกลายพันธุ์เป็นนอมินีให้พรรครัฐบาลอย่างสมบูรณ์แบบ

ผ่านไปเพียง 9 ปี กฎหมาย “ชู้รักนักการเมือง” ฉบับ สมเด็จฮุน เซน ก็ถูกนำมาปัดฝุ่นเล่นงาน กึม สกขา อีกครั้ง

เป้าหมายคือทำลายหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านลงให้จงได้

อภิญญา ตะวันออก