บางมุมจากดีเบต “ถามตรงๆ”

บางมุมจากดีเบต “ถามตรงๆ”

อาจจะล่าและช้าไปที่จะพูดถึง “ผลการดีเบต” ในรายการโทรทัศน์ “ถามตรงๆ กับจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์” ระหว่าง ดร.อานันท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์นิด้า กับ นส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำราษฎรปลดแอก ในหัวข้อ “ถก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2563

แต่ที่จะพูดถึงในวันนี้ไม่ใช่ผลการดีเบต เป็นเพียง “แง่คิด” บางมุมอันไม่มีเงื่อนเวลาเข้ามาผูกมัดและตีกรอบ ไม่ถือว่าล่าช้าแต่ประการใด

อนึ่ง ผมเคยเสนอแง่คิดในการเผชิญหน้ากับเยาวชนปลดแอกที่เป็นแกนนำประท้วงมา 2 ครั้งแล้ว แต่ฝ่ายรัฐบาลที่ถูกประท้วงไม่สนใจ จนผมคิดว่าฝ่ายรัฐบาลคงตั้งใจจะใช้นโยบายเดียวกับที่จีนใช้กับฮ่องกง นั่นคือ ปล่อยให้วิปริตเกิดขึ้นจนสุกงอม สุกงอมจนคนฮ่องกงส่วนใหญ่ทนไม่ไหว หรือจนกว่ารัฐบาลจะได้พบช่องทางที่ชอบธรรมในการแก้ปัญหา

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงจะพอใจในการสะสมปัญหา เพื่อเป็นข้ออ้างในการ “ไม่ลาออก” แถมด้วยการไม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560!

มุมแรกที่ผมมองเห็นก็คือ จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ผู้ดำเนินรายการไม่ได้ทำอะไรผิด การที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกองเชียร์ของทั้ง 2 ฝ่ายว่าลำเอียง จัดมวยไม่ถูกคู่ เอาคนระดับอาจารย์มาคุยกับระดับนักศึกษา ดำเนินรายการอย่างไม่เป็นธรรม ถามและตอบแทนฝ่ายที่ตะกุกตะกักเพราะไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน ฯลฯ และที่สุดก็กล่าวหาว่าผิดจรรยาบรรณสื่อ

มีรายงานเบื้องหลังว่า ทางฝ่ายดำเนินรายการได้ติดต่อ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. หลังจากนั้นได้ติดต่อ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช 3 ผู้นำคณะก้าวไกล (ซึ่งถูกมองว่าเป็นต้นคิดเสนอข้อเรียกร้อง 10 ข้อ) แต่ได้รับคำตอบ “ขัดข้อง” จอมขวัญจึงติดต่อ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล

น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” เป็นผู้ได้รับการยกย่องจาก BBC องค์กรสื่อระดับโลกว่าเป็นผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจ เป็นผู้หญิง “ทรงอิทธิพล” 1 ใน 100 คนทั่วโลกประจำปี 2020 เป็นนักศึกษาผู้ต้องการเห็นทุกคนในสังคมมีศักดิ์ศรีและสิทธิในความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน

นอกจากนั้น รุ้งยังได้รับคำยกย่องจากสื่อโซเชียลกลุ่มหนึ่งว่าเป็นผู้มีความกล้าหาญ เคยเพจข้อความให้ “ของลับ” แก่ประธานสภาและวุฒิสมาชิกมาแล้วด้วย

สรุปอย่างง่ายๆ ในสายตาชาวบ้านก็คือ รุ้งอยู่ในฐานะ “บุคคลสำคัญ” เหนือกว่าอาจารย์อานนท์เสียด้วยซ้ำ

เพียงแต่ว่ารุ้งไม่ได้ทำการบ้านมาก่อนจึงตะกุกตะกัก แล้วดันรับสารภาพว่า “ข้อเรียกร้อง 10 ข้อ” เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์นั้น ถูกยัดใส่มือก่อนขึ้นปราศรัยบนเวทีชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563

นอกจากนั้น เธอยังรับว่าเป็นผู้ยื่นจดหมายเปิดผนึกเสนอข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ผ่าน ผบช.น. ถึงพระเจ้าอยู่หัว

ถ้าจะประณามจอมขวัญ ต้องประณามว่าจอมขวัญเอารุ้งมาเชือดออกจอโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

แต่ส่วนที่เป็นผลดีแก่ประเทศไทยก็เกินคุ้ม อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่า BBC มีเบื้องหลังความเป็นมาอย่างไร และใครคือ “ผู้ทรงอิทธิพล” ตัวจริง!

มีข้อสังเกตว่าเมื่อรุ้งพูดถึงพระมหากษัตริย์ในฐานะบุคคลจะใช้คำว่า King หรือ “เค้า” และเมื่อเอ่ยถึง “สถาบัน” อันเป็นนามธรรม ก็ดูเหมือนจะแปลออกมาจากภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส ตรงตัวจากคำว่า “it” ทำนองเดียวกับอาจารย์ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล

ด้วยความที่ส่วนหนึ่งของผมเป็นคนโบราณ อดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรเป็นแรงดลใจเยาวชนหรือราษฎรกลุ่มนี้?

อาการป่วยไข้ อุปาทานหมู่ จิตวิทยาของม็อบ ศรัทธา เสรีภาพอักเสบ หรืออุดมการณ์ หรือเป็นแค่เกมออกกำลังกายของคนรุ่นใหม่

หรือมีท่อน้ำเลี้ยงที่คุ้มค่าต่อการติดคุก?

มีคอมเมนต์ตำหนิการทำหน้าที่คนกลางของจอมขวัญว่า หลายครั้งหลายหนที่จอมขวัญพูดแทนรุ้งเมื่อรุ้งตะกุกตะกักถึงขั้น “ไปไม่เป็น” ขณะเดียวกันก็ชอบทำหน้าทำตาประหนึ่งสงสัยหรือไม่เข้าใจคำพูดของ ดร.อานนท์

ประเด็นนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของรายการ “ถาม-ตอบ” ของจอมขวัญอยู่แล้ว เพราะผู้ดำเนินรายการที่ดีไม่ควรแสดงความเฉลียวฉลาดเหนือชั้นกว่าแขกรับเชิญ เขา (หรือหล่อน) จะต้อง “แสดง” ให้ผู้ดูทางบ้านเห็นว่า ผู้ที่รับเชิญมาพูดหรือมาดีเบตนั้นอยู่ในฐานะที่รู้รายละเอียดลึกซึ้งกว่า นอกจากจะเป็นการให้เกียรติตามควรแล้ว ยังเป็นจิตวิทยาของนิเทศศาสตร์ที่จูงใจให้ผู้ชมสนใจและเชื่อถือรายการมากขึ้น

การรู้จักถ่อมตัวเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้ดำเนินรายการ

เกี่ยวกับ “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ผมเคยเสนอให้ฝั่งรัฐบาลใจกว้าง พูดคุยกับเยาวชนแกนนำราษฎรปลดแอก หรือใช้คำสอนหรือบทความของ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิต หรือของอาจารย์อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ มาอธิบายและโต้แย้งกับข้อเรียกร้องเพื่อปฏิรูปสถาบัน รวมทั้งทำประชาสัมพันธ์ในสื่อต่างๆ เพื่อให้ประชาชนคลายข้อสงสัย

แต่เท่าที่ผ่านมาไม่ปรากฏว่าทางฝ่ายรัฐดำเนินการตามที่คาดหวังไว้เลย กลับปล่อยให้บริวารประเภท “หมาบ้า” ออกมาอาละวาด อวดอำนาจการเป็น ส.ส. และ “โชว์โง่” จนอดสงสัยไม่ได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี และคณะต่างพอใจกับ “วิกฤต” ที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ เพื่อว่าจะได้มีโอกาสใช้กฎหมายเล่นงานผู้ชุมนุม และเพื่อจะได้มีข้ออ้างในการได้ “อยู่ยาว” โดยไม่ต้องรัฐประหารตัวเอง

หลังจากรายการทางทีวี “ถามตรงๆ” เกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อันเกรียวกราวหนนี้ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รอง หน.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอว่า ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี นักการเมืองอาวุโส หรือ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่รู้จริงและเหมาะสมที่จะมาอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้

ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนอีกฝั่งหนึ่งที่ไม่ยอมรับ ดร.อานนท์ เสนอ ดร.โสภณ พรโชคชัย ผู้เชี่ยวชาญอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้อธิบาย

สรุปแล้วเรามีผู้ที่มีความรู้ความสามารถหลายท่านที่จะอธิบายให้ “ราษฎร” เข้าใจได้โดยไม่ต้องตกเป็นเหยื่อผู้ไม่หวังดี แต่ฝ่ายรัฐกลับไม่เรียกใช้ ปล่อยให้คณะราษฎร 63 ปิดถนนใช้เครื่องขยายเสียงก้าวร้าวอยู่ฝ่ายเดียว

เขียนต้นฉบับนี้เมื่อวันพุธที่ 2 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่ศาลฮ่องกงพิพากษาจำคุกโจชัว หว่อง กับพวกอีก 2 คน 13 เดือนครึ่ง ในคดีการชุมนุมประท้วงใกล้กองบัญชาการตำรวจฮ่องกงเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 โดยไม่มีข่าวปฏิกิริยาตอบโต้จากประเทศมหาอำนาจตะวันตกแต่อย่างใด

วิกฤตฮ่องกงน่าจะให้บทเรียนแก่ทุกฝ่ายในประเทศไทยบ้างไม่มากก็น้อย